รายละเอียดการเตรียมตัวเพื่อไปหาหมอ
เคยบ้างไหมเวลาที่เราเกิดไม่สบายขึ้นมาแล้วต้องการจะไปหาหมอที่โรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ เราต้องเตรียมตัวอย่างไร? ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง? แล้วเราจะสอบถามกับใครเบื้องต้นได้บ้าง? ก็ต้องบอกตามตรงว่า พอขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาลของรัฐแล้วละก็ การบริการอาจจะไม่ได้สะดวกสบายเท่ากับโรงพยาบาลเอกชน แต่เราก็เข้าใจได้ว่าภาระหน้าที่งานของโรงพยาบาลรัฐนั้นเยอะ อาจจะทำให้ดูแลคนไข้ได้ไม่ทั่วถึง ถ้าไปหาหมอเอกชนแน่นอนว่าดีกว่า แต่ก็แลกมาด้วยอัตราค่าบริการที่สูง ยังไงก็ลองเลือกเอาดูตามความเหมาะสมของกำลังทรัพย์ของแต่ละท่าน
กลับเข้าเรื่องการเตรียมตัวเพื่อไปหาหมอ (บริการพาไปหาหมอ) ต้องทำอย่างไรบ้าง ทางแอดมินของ zeedoctor จะมาอธิบายให้ฟัง ผู้อ่านควรจะต้องเข้าใจก่อนว่าเงื่อนไขและรายละเอียดของการไปโรงพยาบาลเพื่อหาหมอของแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเราจะให้ข้อมูลเบื้องต้นตามมาตรฐานโดยทั่วไปของโรงพยาบาลรัฐก่อน ทั้งนี้แต่ละโรงพยาบาลก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไปอีก ถ้าจะให้ดีกรุณาติดต่อโรงพยาบาลที่ท่านต้องการจะเข้ารับการรักษาก่อนจะดีมาก
เบื้องต้นทางผู้ป่วยก็ต้องทราบดีว่าการไปหาหมอ โดยเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ๆนั้นจะมีคนไข้มารอรับบริการอยู่เป็นจำนวนมาก บางคนต้องมานั่งรอกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อที่จะได้รับบัตรคิวแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะได้เสร็จไวไม่ต้องรอพบหมอโดยใช้เวลาเป็นวันๆ สิ่งสำคัญหลักๆที่ต้องเตรียมได้แก่:
1). เตรียมบัตรประชาชน หรือ บัตรคนไข้(ในกรณีที่เป็นคนไข้เก่า)
บัตรประชาชนเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่สุดในการเตรียมตัวเพื่อลงทะเบียนเข้าพบหมอ บัตรประชาชนควรนำติดตัวมาทุกครั้งเมื่อไปหาหมอเพราะบัตรประชาชนต้องใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อนำไปทำบัตรคนไข้ที่ห้องบัตร โรงพยาบาลต้องใช้เพื่อนำมาทำประวัติคนไข้ และหลังจากนั้นประวัตต่างๆเหล่านี้จะถูกนำไปบันทึกไว้ที่ห้องบัตรเพื่อเป็นข้อมูลในการส่งคนไข้ไปรับการตรวจรักษาที่แผนกต่างๆของโรงพยาบาลและง่ายต่อการสืบค้นประวัติคนไข้ในกรณีในกรณีที่มารับการตรวจรักษาในครั้งต่อไป นอกเหนือจากนี้หลักฐานที่ควรนำติดตัวมาคือบัตรข้าราชการ(ถ้ามี) ใบต่างด้าวในกรณีที่เป็นชาวต่างชาติ
2). ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยใหม่ สามารดำเนินการตามขั้นตอนเบื้องต้นได้ดังนี้
2.1 ติดต่อกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มเพื่อทำประวัติที่ห้องบัตรผู้ป่วยใหม่
2.2 ติดต่อพยาบาลคัดกรองและใบคัดกรองเพื่อแยกประเภทของผู้ป่วย
2.3 นำเอกสารตามข้อ 2.1 และข้อ 2.2 พร้อมบัตรประชาชนยื่นที่ห้องบัตร
2.4 นำใบคัดกรองติดต่อพยาบาลที่หน้าห้องตรวจและรับบัตรคิว
2.5 รอรับการตรวจตามลำดับบัตรคิวหน้าห้องตรวจ
3).ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยเก่า
3.1 ติดต่อพยาบาลคัดกรองและรับใบคัดกรองเพื่อแยกประเภทผู้ป่วย
3.2) นำบัตรประจำตัวคนไข้และใบคัดกรองยื่นที่ห้องบัตร
3.3) นำใบคัดกรองติดต่อพยาบาลที่หน้าห้องตรวจและรับบัตรคิว
3.4) รอรับการตรวจตามลำดับบัตรคิวหน้าห้องตรวจ
4). ผู้ป่วยบัตรประกันสุขภาพ (บัตรทองหรือบัตร 30 บาท)
4.1) ติดต่อกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มเพื่อทำประวัติที่ห้องบัตรผู้ป่วยใหม่
4.2) นำเอกสารตามข้อ 4.1 พร้อมบัตรประชาชนยื่นที่ห้องบัตร
4.3) ติดต่อพยาบาลหน้าห้อตรวจบัตรทอง
4.4) รอรับบัตรคิวและรอเรียกตามลำดับบัตรคิว
4.5) รอรับการตรวจหน้าห้องตรวจ
หมายเหตุ: ขอบคุณข้อมูลขั้นตอนสำหรับผู้รับบริการโรงพยาบาลกลาง(OPD)
ทั้งนี้คนไข้เก่าที่ต้องการแก้ไขทะเบียนประวัติในกรณีที่เพิ่งเปลี่ยนแปลงสถานภาพ เช่น แต่งงาน สิ่งที่จำเป็นต้องนำมาด้วยคือ ใบทะเบียนสมรสและสำเนาทะเบียนบ้าน เมื่อทำบัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางแผนกห้องบัตรก็จะส่งต่อผู้ป่วยไปหาหมอเพื่อรับการตรวจในแผนกต่างๆเฉพาะโรค โดยแบ่งคนไข้ออกเป็น 2 ประเภท คือ คนไข้เด็ก และคนไข้ผู้ใหญ่ สำหรับคนไข้เด็กทางห้องบัตรก็จะส่งไปที่แผนกเด็กโดยเฉพาะ
ส่วนคนไข้ผู้ใหญ่จะต้องผ่านการตรวจเพื่อวินิจฉัยคัดกรองและแยกโรคเสียก่อน โดยแผนกห้องบัตรจะส่งคนไข้ที่มาทำบัตรใหม่เพื่อไปหาหมอทั่วไปตรวจวินิจฉัยโรค รวมทั้งตรวจรักษาด้วย แต่ถ้าพบว่าคนไข้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง เช่น แพทย์ทางศัลยกรรม หรือแพทย์ทางอายุรกรรมโดยเฉพาะแล้ว แพทย์แผนกนี้จะส่งคนไข้ไปยังแผนกต่างๆตามสภาพของอาการที่เป็น
ส่วนคนไข้สตรีที่มีความต้องการจะตรวจรักษาโรคเกี่ยวกับโรคของสตรีโดยเฉพาะ ทางแผนกห้องบัตรก็จะส่งคนไข้ไปที่แผนกสูติ-นรีเวชโดยตรง สำหรับคนไข้เก่า และคนไข้ที่หมอนัดให้มาตรวจ ทางแผนกห้องบัตรก็จะส่งไปให้หมอเฉพาะทางโดยตรง เมื่อตรวจวินิจฉัยโรคแล้วปรากฏว่า คุณต้องเข้ารับการผ่าตัด คุณจะต้องเตรียมตัวตามคำแนะนำของหมอเพื่อให้การผ่าตัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ในการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัดมีอยู่ 2 กรณีคือ:
- การเตรียมตัวเพื่อไปผ่าตัดชนิดให้ยาชาเฉพาะที่ ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ
- การผ่าตัดชนิดที่ให้ยาระงับความรู้สึก ในกรณีนี้คนไข้จะหมดความรู้สึก แต่ขณะเดียวกันก็ยังหายใจได้ ซึ่งวิสัญญีแพทย์จะให้การดูแลคนไข้ขณะที่ศัลยแพทย์ให้การผ่าตัด
สำหรับขั้นตอนการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัดมีดังนี้:
- ก่อนที่หมอจะนัดคุณมาผ่าตัด หมอจะต้องให้คุณไปตรวจเลือดดูความพร้อมของร่างกาย และเอกซเรย์ก่อน
- หมอจะบอกให้คุณงดน้ำ งดอาหารมาล่วงหน้า การงดน้ำ งดอาหาร จะต้องงดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนวันที่ทำการผ่าตัด จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้คนไข้ปลอดภัย การงดน้ำงดอาหารมีความสำคัญมากต่อชีวิตคนไข้ เพราะว่าถ้ากระเพาะอาหารไม่ว่างแล้ว อาจมีการสำลักหรืออาเจียน ซึ่งเศษอาหารอาจจะเข้าไปอุดทางเดินหายใจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นคนไข้จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
- สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ คือ คุณต้องเตรียมเงินมาเพื่อเสียค่าผ่าตัด ค่ายา ค่าห้องพัก และอื่นๆ อีกจิปาถะ
- ญาติมีความสำคัญมาก คุณควรจะพาญาติมาด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลขณะที่อยู่โรงพยาบาล(บริการรับเฝ้าไข้) และเพื่อที่จะนำคุณกลับไปบ้าน
- ใบเซ็นอนุญาตผ่าตัด ทางโรงพยาบาลจะกำหนดไว้ว่าผู้ที่บรรลุนิติภาวะอาจจะอายุประมาณ 15 ปี หรือ 20 ปี จึงถือว่า บรรลุนิติภาวะ ซึ่งก็แล้วแต่กฎของโรงพยาบาลแต่ละที่จะไม่เหมือนกัน คนไข้ที่บรรลุนิติภาวะสามารถเซ็นอนุญาตผ่าตัดให้กับตัวเองได้ ส่วนคนไข้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทางโรงพยาบาลก็จะให้ผู้ปกครอง ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่ หรือญาติผู้ให้การดูแลอุปถัมภ์เป็นผู้เซ็นอนุญาตให้
- ของมีค่าต่างๆ ควรจะเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ควรนำมาฝากไว้ที่โรงพยาบาล คนไข้บางคนนำติดตัวมามากมาย ซึ่งเป็นภาระกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอย่างมากที่จะต้องคอยดูแลไม่ให้ข้าวของของคนไข้สูญหาย
- ฟันปลอม คนไข้บางคนใส่ฟันปลอม เจ้าหน้าที่จะแนะนำว่า ควรถอดฟันปลอมทุกครั้งก่อนเข้าห้องผ่าตัด คุณควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพราะว่าบางครั้งเวลาที่คุณหลับฟันปลอมอาจจะหลุด หรือไม่สะดวกที่หมอจะให้การรักษา
- ควรจะแจ้งให้หมอทราบว่า คุณเคยแพ้ยาอะไรมาบ้าง เช่น ยาชา ยาต่างๆ ที่คุณเคยกินแล้วแพ้ และมีอาการอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง และเพื่อหมอจะได้ไม่ให้ยาชนิดนั้นซ้ำอีก ในกรณีที่ต้องให้การรักษาในครั้งต่อไป
ก่อนที่คุณจะออกจากบ้านเพื่อมารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาล คุณควรเตรียมบัตรประชาชน บัตรคนไข้ ใบนัดตรวจ และสิ่งต่างๆ ดังกล่าวให้พร้อม และทำความเข้าใจกับคำแนะนำของหมอ ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อผลดีแก่ตัวคุณเอง และที่สำคัญคุณควรมาให้ตรงตามเวลานัด โดยออกจากบ้านแต่เช้าๆ เผื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเมื่อไปหาหมอจะได้มีเวลาแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ทันท่วงที
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก website หมอชาวบ้าน: https://www.doctor.or.th/article/detail/4909
สนใจสินค้าผู้ป่วย ผู้สูงอายุราคาพิเศษ คลิ๊กลิงค์นี้ได้เลย