แนะนำขั้นตอนการไปรับยาแทนที่โรงพยาบาลสำหรับช่วงโควิท-19

สวัสดีท่านผู้อ่าน Zee Doctor ทุกท่าน วันนี้เราจะมาแนะนำขั้นตอนการไปรับยาแทนผู้ป่วยที่ได้มีการนัดหมายล่วงหน้าเพื่อเข้าพบแพทย์เพื่อติดตามอาการ(Follow up) แต่ไม่สะดวกที่จะไปในช่วงการระบาดของโรคโควิท-19 เวลานี้หลายท่านอาจมีความกังวลใจที่จะต้องพาผู้ป่วยไปหาหมอ เพราะกลัวว่าอาจจะมีความเสี่ยงเมื่อต้องเข้าไปในที่ๆมีคนพลุกพล่าน ฉะนั้นทางเลือกที่น่าสนใจคือให้ญาติหรือคนสนิทไปรับยาแทน ซึ่งสามารถทำได้ในบางกรณี ทางที่ดี เราควรโทรปรึกษาโรงพยาบาลก่อนจะดีที่สุด

เหตุผลที่ควรจะโทรไปสอบถามโรงพยาบาลต้นทางก่อนว่าสามารถรับยาแทนได้ไหม เพราะคนไข้ที่ต้องติดตามอาการในแต่ละกรณีไม่เหมือนกัน บางคนไม่สามารถที่จะรับยาแทนได้เพราะต้องมีการตรวจเลือดหรือเช็คค่าต่างๆภายในร่างกายก่อนที่จะจ่ายยา แต่บางกรณีก็ไม่ต้องถ้าคนไข้ไม่ต้องใช้ผลแล็ปและตอนอยู่บ้านไม่มีอาการผิดปรกติใดๆ หรือถ้าจะต้องมีการเช็ค ก็อาจมีการวัดความดัน 5-7 วันล่วงหน้า แล้วจดข้อมูลเพื่อแจ้งกับทางโรงพยาบาลก่อนจะให้ญาติไปรับยาแทน

หลังจากสอบถามโรงพยาบาลเรียบร้อย ทีนี้เรามาอธิบายขั้นตอนการรับยาแทนกันว่าต้องทำอย่างไรบ้าง:

ไปรับยา-prescription

1. ตรวจสอบสิทธิ์

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตามวันและเวลาที่นัดหมาย ผู้ที่รับยาแทนต้องไปดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ป่วยว่าผู้ป่วยใช้สิทธิ์อะไร หรืออีกนัยก็คือการแจ้งสิทธิ์ให้ทางโรงพยาบาลทราบว่าผู้ป่วยใช้สิทธิ์อะไรในการตรวจรับการรักษา ในขั้นตอนนี้ผู้ที่รับยาแทน ต้องเตรียมเอกสารที่จำเป็นได้แก่ บัตรประชาชนผู้ป่วย บัตรผู้ป่วย ใบนัดหมอ และ เอกสารสิทธิ์ต่างๆให้พร้อมเพื่อแสดงให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบเมื่อต้องการตรวจสอบ

2. คัดกรองผู้ป่วย

หลังจากดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์เสร็จเรียบร้อย ผู้ที่รับยาแทนก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการคัดกรองผู้ป่วยโดยที่เจ้าหน้าที่จะสอบถามผู้ที่มารับยาแทน อาทิเช่น ชื่อ-นามสกุลคนไข้ อายุ น้ำหนัก มาด้วยอาการอะไร แพ้ยาไหม (ในกรณีมารับยาแทนสามารถแจ้งได้ว่ามาพบหมอเพื่อรับยาแทนผู้ป่วย) ทั้งนี้ผู้ที่มารับยาแทน สามารถแจ้งอัตราความดันของผู้ป่วยที่ได้มีการบันทึกไว้ก่อนหน้าให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบเพื่อทำการวิเคราะห์

หมายเหตุ: ถ้าเป็นกรณีปรกติที่ผู้ป่วยมาด้วย จุดนี้จะเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่ทำการตรวจวัดความดัน เจาะเลือด หรือ ตรวจปัสสาวะ เพื่อนำผลข้อมูลการตรวจส่งให้แพทย์ทำการวินิจฉัย

3. เวชระเบียน

พอให้ข้อมูลการคัดกรองผู้ป่วยเสร็จเรียบร้อย เราจะต้องดำเนินการติดต่อเวชระเบียนเพื่อยื่นเอกสารและรอเจ้าหน้าที่เรียกเพื่อตรวจสอบประวัติของผู้ป่วยอีกครั้งก่อนทำการพบแพทย์ ในส่วนนี้อาจจะมีการสอบถามชื่อ-นามสกุล และ ขอบัตรประชาชนของญาติที่มารับยาแทน

ไปรับยา3-prescription

4. รอพบแพทย์

การรอพบแพทย์อาจใช้เวลาสักครู่ใหญ่ ระหว่างรอควรเตรียมคำตอบไว้เบื้องต้นเผื่อในกรณีที่แพทย์อาจจะถามเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยหลังจากรับการรักษาในครั้งที่แล้ว อาทิเช่น นอนหลับได้ปรกติไหม? มีอาการตื่นเต้น ใจสั่น หน้ามืด หรือทานข้าวได้ปรกติรึเปล่า? หรือมีอะไรที่ต้องการแจ้งให้หมอทราบไหม? ญาติผู้ที่มารับยาแทนควรพูดคุย-สอบถามอาการผู้ป่วยไว้เบื้องต้นเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการตอบคำถาม หรือในอีกกรณี เราอาจโทร VDO call แบบ Real Time เพื่อให้แพทย์ได้พูดคุยและดูอาการจากผู้ป่วยได้โดยตรง แต่ทั้งนี้ก็ต้องได้รับการอนุญาตจากแพทย์ผู้ดูแลก่อนจึงจะสามารถทำได้

หลังจากเสร็จสินการเข้าพบแพทย์ แพทย์จะทำการจ่ายยาให้ผู้ป่วยตามความเหมาะสม และทำการออกใบนัดให้ผู้ป่วยเข้าพบในครั้งถัดไป

5. จ่ายเงินหรือใช้สิทธิ์การรักษา และ รอรับยา

ขั้นตอนนี้ญาติผู้รับยาแทนต้องเดินเอกสารจากแพทย์ไปติดต่อแผนกการเงินเพื่อทำการเบิกจ่ายสิทธิ์ หรือ จ่ายเงินเองในกรณีที่ไม่มีสิทธิ์ หลังจากนั้นนั่งรอเรียกเพื่อให้เภสัชกรจัดเตรียมยาตามที่แพทย์สั่ง รวมทั้งอธิบายข้อบ่งชี้ในการใช้ยานั้นๆให้แก่ผู้รับยาแทนได้รับทราบ ในบางโรงพยาบาลมีโครงการพิเศษเฉพาะช่วงโควิท-19 ให้บริการจัดส่งยาทางไปรษณีย์โดยมีค่าบริการเก็บเงินปลายทาง ซึงญาติผู้รับยาแทนสามารถลองสอบถามถึงบริการเหล่านี้ได้       

ไปรับยา2-prescription

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • แนะนำให้เตรียมเอกสารต่างๆไปให้พร้อม ถ้าไม่แน่ใจให้โทรสอบถามโรงพยาบาลก่อน
  • ให้ไปตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้เสร็จไว เพราะจะได้คิวก่อน หรือถ้าเกิดมีเอกสารใดผิดพลาดจะได้มีเวลาเผื่อเหลือในการแก้ไข ไม่เสียเที่ยว
  • หมอส่วนใหญ่จะลงตรวจเวลาประมาณ 8:00-9:00 โมงเช้า แนะนำให้พอดำเนินการเรื่องเอกสารเบื้องต้นเสร็จทั้งหมด ระหว่างรอหมอลงตรวจให้หาอะไรรับประทานลองท้องไว้เผื่อกรณีต้องรอคิวนาน
  • อีกส่วนที่อาจต้องรอนานคือรอรับยา แนะนำให้หาหนังสือไปนั่งอ่านเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เพราะอาจจะปวดตาจากการเล่นมือถือเป็นเวลานาน
  • โรงพยาบาลในแต่ละที่ขั้นตอนการดำเนินการ ตรวจสอบสิทธิ์ ตรวจประวัติ และการตรวจรักษา อาจแตกต่างกันไป ฉะนั้นบทความนี้จึงเป็นแค่การแนะนำเบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางเท่านั้น ถ้าต้องการความถูกต้องแม่นยำอาจจะต้องติดต่อ-สอบถามจากทางโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาโดยตรงจะดีที่สุด

สรุป: การรับยาแทนอาจเป็นสิ่งที่สะดวกสำหรับผู้ป่วยที่อาจจะมีข้อวิตกกังวลโดยเฉพาะช่วงโควิท-19 นี้ แต่ถ้าในอนาคตที่โรคระบาดร้ายแรงชนิดนี้บรรเทาลง Zee Doctor แนะนำให้ผู้ป่วยเดินทางไปพบแพทย์ตามวันและเวลาที่นัดหมายน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะแพทย์จะได้ทำการตรวจ วินิจฉัย อย่างละเอียด รวมทั้งได้พูดคุยสอบถามอาการจากทางผู้ป่วยโดยตรงซึ่งจะทำให้แพทย์ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำในการรักษา และสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างดี มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทความโดย: แอดมิน Zee Doctor (All Right Reserve)  

อันดับแรก ต้องเข้าใจกันก่อนว่ารถเข็นที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่:

ประเภทแรก รถเข็น Wheel Chair แบบต้องใช้กำลังคนขับเคลื่อน ซึ่งก็สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 2 ประเภท:

  1. Transport wheel chair– รถเข็น Wheel Chair ประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยคนช่วยเข็นเท่านั้น คนนั่งไม่สามารถเข็นเองได้ นิยมใช้งานกันในโรงพยาบาลเพื่อเคลื่อนย้ายคนไข้จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง รถเข็นลักษณะนี้ จะมีล้อหลังขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ประมาณ 8-14นิ้ว ผู้นั่งจะไม่สามารถเอื้อมมือไปขยับล้อเพื่อเคลื่อนไหวรถเข็นด้วยตัวเองได้ ข้อดีคือน้ำหนักเบา ราคาค่อนข้างถูก
  2. Manually propelled wheel chair– รถเข็น Wheel Chair ประเภทนี้ผู้ใช้งานสามารถที่จะขยับรถเข็นเคลื่อนที่เองได้โดยจะต้องใช้แขนทั้งสองข้างในการช่วยหมุนล้อ ส่วนในกรณีที่ต้องการเบรก ผู้ใช้งานต้องใช้แขนทั้งสองข้างจับที่วงปั่นเพื่อช่วยในการชะลอผ่อนความเร็ว รถเข็นประเภทนี้ จะมีล้อหลังขนาดใหญ่ตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-24นิ้ว (51-61 ซ.ม.) ข้อดีคือผู้ใช้งานสามารถบังคับควบคุมรถได้ด้วยตนเอง

ประเภทที่สอง รถเข็น Wheel Chair ที่ใช้พลังงานภายนอก หรือ นิยมเรียกกันว่า รถเข็นไฟฟ้า

คือรถเข็นที่ใช้ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อน โดยลักษณะภายนอกของรถเข็นและการใช้งานจะเหมือนกับแบบที่ใช้กำลังคนในการขับเคลื่อน แต่จะถูกติดตั้งเพิ่มเติมด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าทำให้ผู้ใช้งานสามารถบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ไปในทางที่ต้องการได้ รถเข็นแบบนี้นิยมใช้กับผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยหนักไม่สามารถควบคุมการทำงานภายในร่างกายได้ หรือพิการ เป็นอัมพาตจนร่างกายขยับไม่ได้

รถเข็นไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุได้เป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนช่วงล่างของร่างกายได้เลย ผู้ใช้งานสามารถบังคับรถเพื่อหลบหลีกทาง หรือ เขยิบไปในจุดที่สะดวกได้ด้วยตนเองหรือในขณะที่คนเข็นรถไม่อยู่

ข้อแนะนำในการเลือกรถเข็นผู้ป่วย ผู้สูงอายุ:

  1. ควรเลือกแบบที่สามารถพับเก็บได้เพื่อความสะดวกในการพกพาไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อความง่ายในการเคลื่อนย้าย
  2. รถเข็นควรมีเบรกและระบบล๊อคล้อเพื่อความปลอดภัย
  3. กรณีเป็นผู้ป่วยหนักจำเป็นต้องใช้รถเข็นในระยะเวลานาน ควรเลือกซื้อแบบที่ทนทาน มีน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยสะดวก หากต้องเดินทางเป็นประจำควรซื้อแบบที่ทำด้วยอลูมิเนียม
  4. รถเข็นที่ดีต้องมีความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน ต้องไม่เทอะทะ ความลึกของเบาะนั่งต้องพอดีกับร่างกาย เมื่อนั่งแล้ว สะโพกและข้อเข่าควรงอทำมุมฉาก ควรมีช่องว่างระหว่างขอบที่นั่งกับข้อพับเข่าของผู้ป่วยเล็กน้อย หากที่นั่งลึกเกินไปอาจเกิดการเสียดสีเป็นแผลที่ใต้เข่าหรือผู้ป่วยอาจเลื่อนไหลตัวไปด้านหน้าจนอาจตกจากรถเข็นได้
  5. ต้องมีความปลอดภัยกับผู้ใช้งาน โดยควรคำนึงถึงความสูงของพนักพิงว่าต้องพอดี หากผู้ป่วยมีอาการที่ทรงตัวไม่ดี ควรใช้พนักพิงที่พอเหมาะพอดีกับตัว หากผู้ใช้งานทรงตัวดี ต้องการความคล่องตัวในการเข็นรถด้วยตนเองให้เลือกใช้พนักพิงแบบต่ำ
  6. ที่วางเท้าต้องพอเหมาะในขณะที่ผู้สูงอายุนั่ง ข้อเข่าและข้อเท้าควรงอตั้งฉากกัน ไม่ควรงอหรือเหยียดจนเกินไป หรือหากที่วางเท้าสูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดแรงกดไปที่ก้นมากจนอาจเกิดอันตราย เมื่อใช้ไปนานเข้าอาจทำให้ปวดหลังหรือเกิดแผลกดทับที่ก้นขึ้นมาได้

เครดิตข้อมูลจาก site :       

Phartrillion: https://phartrillion.com/how-to-choose-wheelchair/

ราคาเครื่องมือแพทย์.com:  https://bit.ly/38GGrWs