7 วิธีการดูแลภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ

7 วิธีการดูแลภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ

 ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุปัจจุบันพบอยู่ที่ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ พบมากในเพศหญิงและผู้ที่มีอายุมาก ส่วนอุบัติการณ์ภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุปกติในชุมชนพบร้อยละ 10-20 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน แต่โดยในสถานบริบาลอาจพบสูงถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว การดูแลภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ลูกหลานควรเอาใจใส่ ไม่ควรปล่อยปะละเลยสุขภาวะนี้ในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามภาวะท้องผูกเกิดจากหลายปัจจัยโดยไม่ใช่เป็นเพียงเพราะความเสื่อมตามอายุที่มากขึ้นเพียงอย่างเดียว

ทาง Zee doctor มีแนวทางปฏิบัติ 7 วิธีการดูแลภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ มาแนะนำดังนี้:

ความหมายของภาวะท้องผูก

" ภาวะท้องผูกมีความหมายทางอาการอาทิเช่น ความรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ การขับถ่ายอุจจาระที่แข็ง บางครั้งไม่ถ่าย หรือความล้มเหลวในการขับถ่าย การเปลี่ยนแปลงทั้งการทำหน้าที่และโครงสร้างในวัยผู้สูงอายุ ได้แก่ ความยอมตามของทวารหนักลดลง ระดับความรู้สึกเกี่ยวกับความอยากถ่ายลดลง แรงดันขณะพักและขณะเบ่งลดลง อย่างไรก็ตามภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ เกิดจากหลายปัจจัย เช่น การได้รับกากใยลดลง การได้รับสารน้ำลดลง กิจกรรมทางกายลดลงเนื่องจากความเจ็บป่วยเช่น โรคเบาหวาน สมองเสื่อม ซึมเศร้า พาร์กินสัน และการได้รับยาหลากหลายชนิด ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการดูแลภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ "

สารบัญเนื้อหา 7 วิธีการดูแลภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุ

จัดการด้านโภชนาการและน้ำดื่ม

water for oldie

 วิธีการดูแลภาวะท้องผูก ด้วยวิธีนี้ประกอบด้วยการเพิ่มกากใยอาหารหรือลดอาหารที่กากใยน้อย ผู้สูงอายุควรได้รับอาหารที่มีกากใยเป็นปริมาณ 25-30 กรัมต่อวัน อาหารที่มีกากใยสูงช่วยเรื่องท้องผูกได้แก่ เมล็ดถั่วต่างๆ ธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถัวดำ ถั่วเขียว ถั่วลิสง งา รำข้าว หรือผักที่มีเส้นใยปานกลางสามารถช่วยดูแลเรื่องการขับถ่ายและท้องผูกของผู้สูงอายุได้ อาทิเช่น หัวปลี มะเขือพวง ใบชะพลู ผักกระเฉด เห็ดหูหนู ส่วนผลไม้ เช่น ละมุด แอปเปิล ส้ม ถ้าไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีกากใยได้แนะนำให้รับการทดแทนด้วยลูกพรุน หรือผลิตภัณฑ์ของลูกพรุน และควรบริโภคน้ำเปล่าที่สะอาดไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิลิตรต่อวันถ้าผู้สูงอายุไม่มีข้อจำกัด

อาหารที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ดีเช่น ขี้เหล็ก เนื่องจากเป็นยาระบายอ่อนๆ นอกจากนี้ยังแนะนำมะขามที่เป็นสมุนไพรมีฤทธิ์เป็นยาระบายเนื่องจากมีกรดอินทรีย์หลายตัว ผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูกควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน ช๊อคโกแลต อาหารหวาน เนื้อสัตว์ นม และผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงอาหารฟาสต์ฟูต เครื่องดื่มคาเฟอีน และควรดูแล รับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมกับช่วงวัย

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือภาวะเบื่ออาการของผู้สูงอายุซึ่งจะมีผลกระทบกับภาวะท้องผูก เราสามารถแก้ไขภาวะนี้ได้โดยการประเมินหาสาเหตุและจัดการปัญหา อาทิเช่น เพิ่มรสชาติ สีสัน หรือกลิ่นอาหารให้น่ารับประทาน ดูแลความสะอาดของปากและฟันเพื่อช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของผู้สูงอายุ แนวทางนี้จะช่วยป้องกันและดูแลภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี

ส่งเสริมการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ

 เราควรส่งเสริมให้มีกิจกรรมทางกายตามระดับความสามารถของผู้สูงอายุตามภาวะสุขภาพและความชอบส่วนบุคคล ส่งเสริมให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ความถี่ ความหนัก และระยะเวลาควรขึ้นอยู่กับความอดทนและสุขภาพของผู้สูงอายุแต่ละรายด้วย

หลักเบื้องต้นง่ายๆในการออกกำลังกายสำหรับผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ แนะนำให้เดินครั้งละ 15-20 นาที วันละ 1-2 ครั้ง หรือ 30-60 นาทีทุกวัน หรือ 3-5 วันต่อสัปดาห์ สำหรับผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหวควรเดินอย่างน้อย 50 ฟุต วันละ 2 ครั้ง หรือถ้าถูกจำกัดอยู่บนเตียง ควรขยับตัว ออกกำลังกายด้วยการยกตะโพก หมุนตัว และยกขาข้างเดียว

ส่งเสริมความเป็นส่วนตัวในการขับถ่ายเพื่อช่วยลดภาวะท้องผูก

eldery go toilet

 การป้องกันภาวะท้องผูกในผู้สูงอายุไม่แค่เพียงจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่ในบางรายการเกิดภาวะท้องผูกอาจเกิดจากอุปสรรคด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการดูแลจัดการปัญหาด้านนี้ให้ถูกต้องเหมาะสมโดย ห้องส้วมควรอยู่ใกล้และผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงได้ง่าย โถส้วมควรสะอาด มีประตูปิดเปิดและที่จับที่เหมาะสม การประเมินความต้องการการขับถ่ายควรให้ผู้สูงอายุสามารถระบุทางเลือกได้ ควรพาผู้สูงอายุไปถ่ายในห้องน้ำถ้าเป็นไปได้ การช่วยยกผู้สูงอายุควรคำนึงถึงความพอดี ตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุทันทีและเป็นไปอย่างสุภาพ ในกรณีที่ผู้สูงอายุต้องถ่ายบนเตียง หลังถ่ายเสร็จต้องนำกระโถนหรือที่นั่งถ่ายออกทันที เราต้องช่วยทำความสะอาดมือ(ล้างมือ) ให้ผู้สูงอายุ ดูแลเรื่องความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญ

การจัดการด้านพฤติกรรมเพื่อลดภาวะท้องผูก

having-stomach-pain-eldery

 วิธีนี้เราจะเน้นการฝึกขับถ่ายอุจจาระเพื่อเป็นการฝึกลำไส้ โดยภายหลังจากการรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมง แนะนำให้ผู้สูงอายุเข้าส้วมเพื่อขับถ่ายแม้ว่าจะไม่รู้สึกอยากขับถ่ายก็ตาม ส่วนใหญ่นิยมใช้หลังอาหารเช้าหรือเย็น เนื่องจากอาหารจะช่วยกระตุ้นความเคลื่อนไหวของลำไส้ ถ้าปฏิบัติจนเคยชิน ร่างกายปรับตัวได้จะช่วยลดปัญหาท้องผูกได้ดีในระดับหนึ่ง ควรฝึกเป็นประจำเพื่อให้ผู้สูงอายุตระหนักถึงความจำเป็นและให้ทำเป็นกิจวัตรประจำวันได้ยิ่งดี วิธีนี้ยังช่วยกระตุ้นทวารหนักเพื่อช่วยเร่งการขับถ่ายอุจจาระด้วย

แนะนำให้นั่งยองๆ

oldie-4-need
oldie-4-need

 ในกรณีที่ผู้สูงอายุสามารถทำได้ แต่ถ้าผู้สูงอายุไม่สามารถนั่งได้ให้ถ่ายในท่านอนตะแคงซ้ายชันเข่า โดยเคลื่อนเท้าเข้าหาหน้าท้อง

การนวดหน้าท้องให้ผู้สูงอายุ

 เพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้องและกระตุ้นความเคลื่อนไหวของลำไส้ ทั้งยังส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดแต่ต้องนวดช้าๆ ถึงจะมีประสิทธิภาพ

การใช้ยาระบายเพื่อลดอาการท้องผูก

pills-for-pain
pills-for-pain

 ควรต้องใช้ยาลดอาการท้องผูกอย่างระมัดระวังและอยู่ในการดูแลของแพทย์ พยาบาล มีข้อเสนอแนะการใช้ยาโดยเรียงลำดับการใช้ระบายเริ่มจากสารเพิ่มมวลอุจจาระ(Bulking agents) และยาระบายที่มีฤทธิ์ดูดน้ำเข้ามาในลำไส้มากขึ้นด้วยแรงออสโมซิส(Osmotic agents) หลังจากนั้นใช้ยาระบายที่ทำให้อุจจาระอ่อนตัว(Stool Softener) และสุดท้ายยาระบายประเภทออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำใส้(Stimulants)

 สรุป ภาวะท้องผูกเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุที่สามารถป้องกันได้เพื่อลดความรุนแรงและเรื้องรังซึ่งจะส่งผลกระทบตามมาหลายประการ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการในการป้องกันภาวะท้องผูกที่ได้ผลดี มีประสิทธิภาพ สุดท้ายสำคัญที่สุดคือลูกหลานและผู้ใกล้ชิดควรดูแล เอาใจใสพ่อ แม่ของท่านด้วยความละเอียดถี่ถ้วน ปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด มีระเบียบวินัยและความสม่ำเสมอในการปฏิบัติเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่เรารักให้มีสุขภาพดี มีความสุข  

แหล่งที่มาข้อมูล: การพยาบาลผู้สูงอายุ โดย ดร.ศิริรัตน์ ปานอุทัย

อันดับแรก ต้องเข้าใจกันก่อนว่ารถเข็นที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่:

ประเภทแรก รถเข็น Wheel Chair แบบต้องใช้กำลังคนขับเคลื่อน ซึ่งก็สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 2 ประเภท:

  1. Transport wheel chair– รถเข็น Wheel Chair ประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยคนช่วยเข็นเท่านั้น คนนั่งไม่สามารถเข็นเองได้ นิยมใช้งานกันในโรงพยาบาลเพื่อเคลื่อนย้ายคนไข้จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง รถเข็นลักษณะนี้ จะมีล้อหลังขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ประมาณ 8-14นิ้ว ผู้นั่งจะไม่สามารถเอื้อมมือไปขยับล้อเพื่อเคลื่อนไหวรถเข็นด้วยตัวเองได้ ข้อดีคือน้ำหนักเบา ราคาค่อนข้างถูก
  2. Manually propelled wheel chair– รถเข็น Wheel Chair ประเภทนี้ผู้ใช้งานสามารถที่จะขยับรถเข็นเคลื่อนที่เองได้โดยจะต้องใช้แขนทั้งสองข้างในการช่วยหมุนล้อ ส่วนในกรณีที่ต้องการเบรก ผู้ใช้งานต้องใช้แขนทั้งสองข้างจับที่วงปั่นเพื่อช่วยในการชะลอผ่อนความเร็ว รถเข็นประเภทนี้ จะมีล้อหลังขนาดใหญ่ตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-24นิ้ว (51-61 ซ.ม.) ข้อดีคือผู้ใช้งานสามารถบังคับควบคุมรถได้ด้วยตนเอง

ประเภทที่สอง รถเข็น Wheel Chair ที่ใช้พลังงานภายนอก หรือ นิยมเรียกกันว่า รถเข็นไฟฟ้า

คือรถเข็นที่ใช้ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อน โดยลักษณะภายนอกของรถเข็นและการใช้งานจะเหมือนกับแบบที่ใช้กำลังคนในการขับเคลื่อน แต่จะถูกติดตั้งเพิ่มเติมด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าทำให้ผู้ใช้งานสามารถบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ไปในทางที่ต้องการได้ รถเข็นแบบนี้นิยมใช้กับผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยหนักไม่สามารถควบคุมการทำงานภายในร่างกายได้ หรือพิการ เป็นอัมพาตจนร่างกายขยับไม่ได้

รถเข็นไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุได้เป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนช่วงล่างของร่างกายได้เลย ผู้ใช้งานสามารถบังคับรถเพื่อหลบหลีกทาง หรือ เขยิบไปในจุดที่สะดวกได้ด้วยตนเองหรือในขณะที่คนเข็นรถไม่อยู่

ข้อแนะนำในการเลือกรถเข็นผู้ป่วย ผู้สูงอายุ:

  1. ควรเลือกแบบที่สามารถพับเก็บได้เพื่อความสะดวกในการพกพาไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อความง่ายในการเคลื่อนย้าย
  2. รถเข็นควรมีเบรกและระบบล๊อคล้อเพื่อความปลอดภัย
  3. กรณีเป็นผู้ป่วยหนักจำเป็นต้องใช้รถเข็นในระยะเวลานาน ควรเลือกซื้อแบบที่ทนทาน มีน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยสะดวก หากต้องเดินทางเป็นประจำควรซื้อแบบที่ทำด้วยอลูมิเนียม
  4. รถเข็นที่ดีต้องมีความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน ต้องไม่เทอะทะ ความลึกของเบาะนั่งต้องพอดีกับร่างกาย เมื่อนั่งแล้ว สะโพกและข้อเข่าควรงอทำมุมฉาก ควรมีช่องว่างระหว่างขอบที่นั่งกับข้อพับเข่าของผู้ป่วยเล็กน้อย หากที่นั่งลึกเกินไปอาจเกิดการเสียดสีเป็นแผลที่ใต้เข่าหรือผู้ป่วยอาจเลื่อนไหลตัวไปด้านหน้าจนอาจตกจากรถเข็นได้
  5. ต้องมีความปลอดภัยกับผู้ใช้งาน โดยควรคำนึงถึงความสูงของพนักพิงว่าต้องพอดี หากผู้ป่วยมีอาการที่ทรงตัวไม่ดี ควรใช้พนักพิงที่พอเหมาะพอดีกับตัว หากผู้ใช้งานทรงตัวดี ต้องการความคล่องตัวในการเข็นรถด้วยตนเองให้เลือกใช้พนักพิงแบบต่ำ
  6. ที่วางเท้าต้องพอเหมาะในขณะที่ผู้สูงอายุนั่ง ข้อเข่าและข้อเท้าควรงอตั้งฉากกัน ไม่ควรงอหรือเหยียดจนเกินไป หรือหากที่วางเท้าสูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดแรงกดไปที่ก้นมากจนอาจเกิดอันตราย เมื่อใช้ไปนานเข้าอาจทำให้ปวดหลังหรือเกิดแผลกดทับที่ก้นขึ้นมาได้

เครดิตข้อมูลจาก site :       

Phartrillion: https://phartrillion.com/how-to-choose-wheelchair/

ราคาเครื่องมือแพทย์.com:  https://bit.ly/38GGrWs