โรคกระดูกพรุนคืออะไร

 โรคกระดูกพรุนเกิดจากกระบวนการสูญเสียมวลกระดูกอย่างช้าๆต่อเนื่อง มวลกระดูกและคุณภาวะกระดูกลดลง โดยมวลกระดูกที่ถูกสะสมไว้มีจำนวนน้อยกว่าปรกติ หรือมีการสลายของกระดูกมากกว่าปรกติ ในเพศหญิงมวลกระดูกมีมากที่สุดในช่วงอายุประมาณ 35 ปี และคงอยู่จนถึงวัยหมดประจำเดือน อัตราการลดลงของมวลกระดูกในช่วงแรกของวัยหมดประจำเดือนจะสูงประมาณร้อยละ 7 หลังจากนั้นมวลกระดูกจะลดลงเรื่อยๆ ร้อยละ 1-2 ต่อปี แต่ในเพศชายหลังจากมวลกระดูกมีสูงสุดช่วงอายุประมาณ 35 ปี แล้วจะค่อยๆลดลงประมาณร้อยละ 1-2 ต่อปี ฉะนั้นเพศหญิงมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนได้สูงกว่าเพศชาย

สารบัญเนื้อหา

1. ความหมายของโรคกระดูกพรุน

 นิยามของโรคกระดูกพรุนได้รับการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยเน้นเรื่องสำคัญ 3 เรื่องได้แก่ ความแข็งแกร่งของกระดูก ความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งเป็นผลรวมทำให้กระดูกมีความแข็งแกร่ง และ คุณภาพกระดูก โดยในเรื่องของคุณภาพกระดูกนั้นหมายรวมถึงความแตกต่างในโครงสร้างของกระดูกของแต่ละบุคคล วงจรการสลายและสร้างกระดูก และองค์ประกอบของเนื้อกระดูก

อาการโรคข้อ-เสื่อม

2. ปัจจัยเสี่ยงโรคกระดูกพรุน

 ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุนอาจจะยากในการแยกจากปัจจัยเสี่ยงต่อการลดลงของการทำหน้าที่ของระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ ได้แก่ การขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งแนวทางการรับประทานอาหาร ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายและรับประทานอาหารโปรตีน แคลเซียมและวิตามินดี ทำให้กำลังกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นส่งผลให้กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุนำมาสู่การเกิดภาวะกระดูกพรุนชนิดที่สัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนมีดังนี้:

  • เพศหญิง มีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่าเพศชายถึง 4 เท่า เนื่องจากมวลกระดูกในเพศหญิงมีน้องกว่าเพศชายประมาณ ร้อยละ 30 และผู้สูงอายุเพศหญิงในวัยหมดประจำเดือนขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งฮอร์โมนนี้มีผลต่อกระบวนการสร้างกระดูกและป้องกันการสลายของกระดูก
  • อายุที่มากขึ้น เนื่องจากกระบวนการสลายกระดูกในผู้สูงอายุเร็วกว่ากระบวนการสร้างกระดูก ผู้สูงอายุจึงเสี่ยวต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนสูงกว่าวัยอื่น
  • กระดูกเล็ก และน้ำหนักตัวน้อยหรือรูปร่างบาง เนื่องจากผู้ที่รูปร่างผอมบาง กระดูกเล็ก หรือตัวเตี้ยจะมีกระดูกส่วนเนื้อแน่นน้อย
  • กรรมพันธุ์ โดยพันธุ์กรรมที่เกี่ยวข้องได้แก่ หน่วยพันธุ์กรรมของตัวรับวิตามินดีซึ่งมีส่วนในการดูดซึมแคลเซียม และส่งผลต่อความหนาแน่นของมวลกระดูก
  • ได้รับแคลเซียมน้อย เนื่องจากแคลเซียมเป็นเป็นแร่ธาตุสำคัญในกระบวนการสร้างกระดูก ได้รับวิตามินดีน้อย ทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง
  • ไม่เคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานาน ทำให้มีการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากขึ้น
เฝ้าไข้-elderly-1
  • ฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนลดลงในเพศชาย การขาดฮอร์โมนในเพศชายเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งการออกกำลังกาย และ บริหารร่างกายอย่างหนัก การตัดลูกอัณฑะทั้งสองข้าง ภาวะฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองต่ำ
  • สูบบุหรี่ สารพิษในบุหรี่มีฤทธิ์เพิ่มเมตาบอลิสซึมของฮอร์โมนเอสโตรเจนในตับ ทำให้ฮอร์โมนลดลง ส่งผลให้กระบวนการสร้างกระดูกลดลง
  • ดื่มแอลกอฮอล์มาก แอลกอฮอล์มีพิษโดยตรงต่อเนื้อเยื่อกระดูก ลดประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย และยับยั้งการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก จึงทำให้กระดูกเสื่อม
  • ใช้ยาบางประเภทเป็นประจำ ได้แก่ คอร์ติโคสเตียรอยด์ซึ่งมีผลการกดการสร้างกระดูกใหม่ ลดการดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร และเพิ่มการขับถ่ายแคลเซียมทางปัสสาวะ นอกจากนั้นการได้รับยาต้านชัก และฮอร์โมนไทรอยด์ยังส่งผลให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้เนื่องจากยามีผลทำให้พร่องวิตามินดี
  • ใช้ยาลดกรดในปริมาณที่มาก โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของอลูมินัมจะยับยั้งขบวนการดูดซึมฟอสเฟตในร่างกาย

3. การเปลี่ยนแปลงในวัยสูงอายุที่มีผลต่อโรคกระดูกพรุนและข้อเสื่อม

การเปลี่ยนแปลงของระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อทั่วไป ได้แก่

3.1) ความสูงลดลง กล้ามเนื้อฝ่อ การเคลื่อนไหวลดลง ความแข็งแรงลดลง ข้อแข็งและไขมันรวมทั้งกล้ามเนื้อลายเปลี่ยนที่

3.2) การเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อทำให้รูปร่างที่ปรากฏเปลี่ยนแปลงไป อ่อนแอ เคลื่อนไหวได้ช้า

3.3) อัตราการสร้างกระดูกใหม่ช้าลง ทำให้มวลกระดูกในผู้สูงอายุลดลง

3.4) ผู้สูงอายุจะมีความแข็งแรงและใยของกล้ามเนื้อลดลง อัตราการสร้างกล้ามเนื้อลายขึ้นใหม่ช้าลง เนื้อเยื่อฝ่อและมีการแทนที่กล้ามเนื้อด้วยเส้นใยเหนียว

3.5) การเปลี่ยนแปลงของข้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน การเปลี่ยนแปลงของข้อมีความแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้งานมากและการออกกำลังกายส่งผลต่อความเสื่อมของข้อ (อ่านเพิ่มเติม โรคข้อเสื่อมในผู้สูงอายุ)

4. อาการของโรคกระดูกพรุน

Elderly woman fell on the floor

 ส่วนใหญ่กระดูกที่พบว่ามีภาวะกระดูกพรุนมากได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกต้นแขน  โดยโรคกระดูกพรุนส่งผลให้เกิดภาวะกระดูกหักซึ่งอาจเกิดจากการได้รับอันตรายแบบซ้ำๆ หรือได้รับอันตรายแบบเฉียบพลัน เช่นการยกของหนักทันที การโค้งตัวหรือการหกล้ม การเสื่อมของกระดูกสันหลังนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงรูปร่างและความสูง โดยจะมีอาการได้แก่ หลังโก่ง ความสูงลดลงและอาการปวดจากการยุบตัวของกระดูกสันหลังส่วนล่าง อาจนำมาสู่ภาวะกระดูกสะโพกหักที่พบได้บ่อยเนื่องจากการลดลงของแรงต้านและการลดลงของมวลกระดูก

5. การป้องกันโรคกระดูกพรุน

 การป้องกันโรคกระดูกพรุนมุ่งเน้นรูปแบบป้องกันโดยการไม่ใช้ยาเนื่องจากมีประสิทธิภาพดีและต้นทุนต่ำ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากประกอบด้วยวิธีหลักคือ การออกกำลังกาย (อ่านเรื่องการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ)  การปรับรูปแบบอาหารและสารอาหาร การปรับแบบแผนการดำเนินชีวิต ป้องกันการหกล้มเป็นต้น รูปแบบต่างๆดังที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้นได้แก่:

5.1) การออกกำลังกายที่เหมาะสม ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนักที่กระดูก อาทิ การเดิน การวิ่งเหยาะ และการออกกำลังกายแบบต้านทานน้ำหนัก เช่น การยกย้ำหนัก โดยการออกกำลังกายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มมวลกระดูก การออกกำลังกายควรมีระยะเวลาประมาณ 30-40 นาที เป็นเวลา 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดการสูญเสียกระดูกโดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลังและกระดูกสะโพก

ในส่วนของการออกกำลังกายเพื่อป้องกันการหกล้มประกอบด้วยการออกกำลังกายเพื่อช่วยการทรงตัวและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนล่าง เช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆ การเต้นรำ หรือ เต้นแอโรบิค

สำหรับผู้ที่มีกระดูกบางแนะนำให้ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนักที่กระดูกแต่แรงกระแทกต่ำ เช่นการเดินต่อเนื่อง 40 นาที สัปดาห์ละ 3-4 วัน รวมถึงการบริหารกล้ามเนื้อหลัง การฝึกการทรงตัว และการฝึกท่าทาง จะช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก

วิ่งออกกำลังกาย

5.2) การรับประทานอาหาร อาหารที่ช่วยในการซ่อมแซมกระดูก ได้แก่ โปรตีน วิตามินซี แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส แมงกานีส ที่สำคัญคือแคลเซียม วิตามินดี และ วิตามินเค

ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงประมาณ 1200-1500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ กุ้งแห้งตัวเล็ก กุ้งฝอย กะปิ ปลาสลิด งาดำคั่ว เต้าหู้ ถัวเหลืองสุก ถั่วเขียวสุก ใบยอ ผักคะน้า มะเขือพวง ผู้สูงอายุควรดื่มนมเป็นประจำ หรือถ้าได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอแนะนำให้รับประทานแคลเซียมเสริม โดยควรเป็นแคลเซียมซิเตรทมากกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต

การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี หรือพยายามให้ร่างกายได้รับแสงแดดประมาณวันละ 10-15 นาที วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ และควบคุมการขับถ่ายแคลเซียมออกจากไต ควบคุมการสะสมแคลเซียมบนกระดูก ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน อาหารที่มีวิตามินดีสูงได้แก่ ไข่แดง ตับ และเนื้อสัตว์

5.3) ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์มากเกินไปคือมากกว่า 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เนื่องจากทำให้ร่างกายเป็นกรด ส่งผลให้มีการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกเพื่อลดความเป็นกรดในร่างกาย และทำให้แคลเซียมถูกขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น

5.4) หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารประเภทผักชนิดเดียวกันเป็นเวลานาน เนื่องจากผักบางชนิดมีเส้นใยสูง ซึ่งอาจจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เล็ก

5.5) รับประทานอาหารที่มีวิตามินเค เช่น เนื้อสัตว์ นม ผักใบเขียว จะช่วยในกระบวนการเติมเกลือแร่ในกระดูกที่สร้างใหม่ ส่งผลให้กระดูกมีความแข็งแรงมากขึ้น ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน

5.6) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาทิเช่น กาแฟ ชา โกโก เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะทำให้สูญเสียแคลเซียมออกมากับปัสสาวะมากขึ้น

5.7) หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีฟอสฟอรัสสูง อาทิ น้ำอัดลมที่ผสมคาร์บอเนต

5.8) หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์

5.9)หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากสารนิโคตินทำลายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ตับและทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

5.10) ระมัดระวังการรับประทานยาบางชนิด เช่นยาลดกรดที่มีอลูมีนัมเป็นส่วนผสม ยากันชัก ฮอร์โมนรักษาโรคคอพอกเป็นพิษ และยาเฮพาริน โดยถ้าต้องรับประทานต่อเนื่องควรปรึกษาแพทย์

แหล่งที่มาข้อมูลเรื่องโรคกระดุกพรุนในผู้สูงอายุ: การพยาบาลผู้สูงอายุโดย ผศ.ดร.ศิริรัตน์ ปานอุทัย

อันดับแรก ต้องเข้าใจกันก่อนว่ารถเข็นที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่:

ประเภทแรก รถเข็น Wheel Chair แบบต้องใช้กำลังคนขับเคลื่อน ซึ่งก็สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 2 ประเภท:

  1. Transport wheel chair– รถเข็น Wheel Chair ประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยคนช่วยเข็นเท่านั้น คนนั่งไม่สามารถเข็นเองได้ นิยมใช้งานกันในโรงพยาบาลเพื่อเคลื่อนย้ายคนไข้จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง รถเข็นลักษณะนี้ จะมีล้อหลังขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ประมาณ 8-14นิ้ว ผู้นั่งจะไม่สามารถเอื้อมมือไปขยับล้อเพื่อเคลื่อนไหวรถเข็นด้วยตัวเองได้ ข้อดีคือน้ำหนักเบา ราคาค่อนข้างถูก
  2. Manually propelled wheel chair– รถเข็น Wheel Chair ประเภทนี้ผู้ใช้งานสามารถที่จะขยับรถเข็นเคลื่อนที่เองได้โดยจะต้องใช้แขนทั้งสองข้างในการช่วยหมุนล้อ ส่วนในกรณีที่ต้องการเบรก ผู้ใช้งานต้องใช้แขนทั้งสองข้างจับที่วงปั่นเพื่อช่วยในการชะลอผ่อนความเร็ว รถเข็นประเภทนี้ จะมีล้อหลังขนาดใหญ่ตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-24นิ้ว (51-61 ซ.ม.) ข้อดีคือผู้ใช้งานสามารถบังคับควบคุมรถได้ด้วยตนเอง

ประเภทที่สอง รถเข็น Wheel Chair ที่ใช้พลังงานภายนอก หรือ นิยมเรียกกันว่า รถเข็นไฟฟ้า

คือรถเข็นที่ใช้ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อน โดยลักษณะภายนอกของรถเข็นและการใช้งานจะเหมือนกับแบบที่ใช้กำลังคนในการขับเคลื่อน แต่จะถูกติดตั้งเพิ่มเติมด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าทำให้ผู้ใช้งานสามารถบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ไปในทางที่ต้องการได้ รถเข็นแบบนี้นิยมใช้กับผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยหนักไม่สามารถควบคุมการทำงานภายในร่างกายได้ หรือพิการ เป็นอัมพาตจนร่างกายขยับไม่ได้

รถเข็นไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุได้เป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนช่วงล่างของร่างกายได้เลย ผู้ใช้งานสามารถบังคับรถเพื่อหลบหลีกทาง หรือ เขยิบไปในจุดที่สะดวกได้ด้วยตนเองหรือในขณะที่คนเข็นรถไม่อยู่

ข้อแนะนำในการเลือกรถเข็นผู้ป่วย ผู้สูงอายุ:

  1. ควรเลือกแบบที่สามารถพับเก็บได้เพื่อความสะดวกในการพกพาไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อความง่ายในการเคลื่อนย้าย
  2. รถเข็นควรมีเบรกและระบบล๊อคล้อเพื่อความปลอดภัย
  3. กรณีเป็นผู้ป่วยหนักจำเป็นต้องใช้รถเข็นในระยะเวลานาน ควรเลือกซื้อแบบที่ทนทาน มีน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยสะดวก หากต้องเดินทางเป็นประจำควรซื้อแบบที่ทำด้วยอลูมิเนียม
  4. รถเข็นที่ดีต้องมีความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน ต้องไม่เทอะทะ ความลึกของเบาะนั่งต้องพอดีกับร่างกาย เมื่อนั่งแล้ว สะโพกและข้อเข่าควรงอทำมุมฉาก ควรมีช่องว่างระหว่างขอบที่นั่งกับข้อพับเข่าของผู้ป่วยเล็กน้อย หากที่นั่งลึกเกินไปอาจเกิดการเสียดสีเป็นแผลที่ใต้เข่าหรือผู้ป่วยอาจเลื่อนไหลตัวไปด้านหน้าจนอาจตกจากรถเข็นได้
  5. ต้องมีความปลอดภัยกับผู้ใช้งาน โดยควรคำนึงถึงความสูงของพนักพิงว่าต้องพอดี หากผู้ป่วยมีอาการที่ทรงตัวไม่ดี ควรใช้พนักพิงที่พอเหมาะพอดีกับตัว หากผู้ใช้งานทรงตัวดี ต้องการความคล่องตัวในการเข็นรถด้วยตนเองให้เลือกใช้พนักพิงแบบต่ำ
  6. ที่วางเท้าต้องพอเหมาะในขณะที่ผู้สูงอายุนั่ง ข้อเข่าและข้อเท้าควรงอตั้งฉากกัน ไม่ควรงอหรือเหยียดจนเกินไป หรือหากที่วางเท้าสูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดแรงกดไปที่ก้นมากจนอาจเกิดอันตราย เมื่อใช้ไปนานเข้าอาจทำให้ปวดหลังหรือเกิดแผลกดทับที่ก้นขึ้นมาได้

เครดิตข้อมูลจาก site :       

Phartrillion: https://phartrillion.com/how-to-choose-wheelchair/

ราคาเครื่องมือแพทย์.com:  https://bit.ly/38GGrWs