เมื่ออายุมากขึ้นจะพบลักษณะอาการของการมองเห็นที่ผิดปรกติเกิดขึ้นได้ เช่นตาพร่ามัว ทนต่อแสงสว่างไม่ได้ มองเห็นคล้ายมีแสงฟ้าแลบ หรือรู้สึกคล้ายมีจุดดำๆลอยผ่านไปมา ความผิดปรกติดังกล่าวเป็นผลมาจากการแก่ตัวลงและชราภาพของร่างกาย นอกจากนั้นการมองเห็นผิดปรกติหรือการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุยังอาจเกิดจากโรคที่เกิดขึ้นกับดวงตา
โดยพบว่าโรคที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุประกอบไปด้วย 3 โรคหลักได้แก่: โรคต้อกระจก โรคต้อหิน และโรคจอประสามทตาเสื่อม ซึ่งในที่นี้ Zee Doctor จะพูดถึงรายละเอียดของ 3 โรคดังกล่าวต่อไปนี้

credit pic by rawpixel.com – www.freepik.com
ต้อกระจก
ความหมายของโรค: โรคต้อกระจกเป็นภาวะที่มีการขุ่นของเลนส์หรือปลอกหุ้มเลนส์ ทำให้แสงผ่านเข้าได้ไม่เต็มที่ ซึ่งพบบ่อยในผู้สูงอายุ ปรกติเลนส์จะทำหน้าที่รวมแสงให้ไปตกที่จอรับภาพเพื่อให้เห็นภาพชัดทั้งในระยะใกล้และไกล เลนส์ประกอบด้วยน้ำและโปรตีนโดยส่วนที่เป็นโปรตีนจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เลนส์ใสหรือให้แสงผ่านได้ ในผู้สูงอายุโปรตีนในเลนส์อาจจะจับเป็นก้อนทำให้เลนส์ขุ่นขึ้นบางส่วน เมื่อระยะเวลานานขึ้นบริเวณที่ขุ่นจะมีมากขึ้นทำให้ตามัวมองเห็นไม่ชัด
สาเหตุของการเกิดต้อกระจก:

credit pic by user18526052 – www.freepik.com
สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หลักสำคัญอย่างหนึ่งของต้อกระจกคือการที่ตาถูกแสงแดด หรือแสงอุลตร้าไวโอเลตเป็นเวลานาน นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่พบว่าทำให้เกิดต้อกระจกได้ดังนี้
- ปัจจัยส่วนบุคคลได้แก่ อายุมากขึ้น เนื่องจากเมืออายุมากขึ้นจะมีการเพิ่มขึ้นของไขมันชนิด สฟิงโกไลปิดในเลนส์ตา เพศหญิงมีโอกาสเกิดมากกว่าเพศชายเนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิด oxidative stress ที่เป็นสาเหตุทำให้เกินต้อกระจก
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การสูบบุหรี่ การได้รับแสงอุลตร้าไวโอเลต ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา ได้รับยาสเตอรอย ยาแอสไพริน หรือ hormone replacement therapy มีประวัติเป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมแพ้เป็นต้น
อาการของผู้ที่เป็นต้อกระจกจะไม่มีอาการไม่สุขสบายหรือเจ็บปวด แต่อาการจะประกอบด้วยการมองเห็นที่ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ และเมื่อเลนส์ขุ่นมากขึ้นจะมองเห็นไม่ชัด มองเห็นภาพขุ่นมัวและความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนลดลง เมื่อเลนส์ขุ่นเต็มที่หรือสูญเสียการมองเห็นเต็มที่ ผู้สูงอายุจะทนแสงสว่างหรือแสงจ้าไม่ได้ เนื่องจากเลนส์ที่ขุ่นทำให้แสงแตกกระจายมากกว่าเลนส์ที่ใสปรกติ
เลนส์จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลปนเหลือง สีของรูม่านตาจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวขุ่น ผู้สูงอายุบางรายอาจจะมองเห็นตัวหนังสือหรือสิ่งของเล็กๆได้ชัดขึ้นโดยไม่ต้องสวมแว่นตาเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ทำให้มองระยะใกล้ชัดขึ้น
ต้อหิน

credit pic by freepik – www.freepik.com
ความหมายของโรค: ต้อหินเป็นโรคทีเกิดจากความเสื่อมของตา ทำให้ประสาทตาถูกทำลายเนื่องจากความดันในลูกตาที่สูงขึ้น เป็นความผิดปรกติขิงตาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุรองจากต้อกระจก และเป็นสาเหตุของอาการตาบอดในผู้สูงอายุ พบได้ในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเสื่อมของร่างกายเอง
โรคต้อหินเป็นกลุ่มโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงทำลายของขั้วประสาทตา ไม่มีสาเหตุปัจจัยภายนอก หรือพบร่วมกับโรคทางตาอื่นๆที่แทรกซ้อนมาจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดรักษาโรคอื่นๆ ในดวงตา หรือแม้แต่เกี่ยวพันกับโรคทางกายอื่นๆ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดและเป็นปัจจัยเดียวที่ควบคุมเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ ความดันในลูกตาที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเองตามธรรมชาติเนื่องจากความเสื่อมข้างในลูกตาหรือเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากยาที่ใช้ อุบัติเหตุหรือการผ่าตัด
ชนิดและอาการของต้อหิน:
ต้อหินแบ่งออกเป็น 2 ชนิดดังนี้:
- ต้อหินชนิดเฉียบพลันหรือชนิดมุมปิด ผู้สูงอายุจะมีอาการปวดตามาก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียน เนื่องจากมีความดันในลูกตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการบวม และรูม่านตาขยาย จะมองเห็นภาพมัวจนถึงมองไม่เห็นได้ถ้าไม่รีบรักษาภายใน 1 วัน
- ต้อหินชนิดเรื้องรัง หรือชนิดมุมเปิด เป็นชนิดที่พบได้บ่อย อาการจะค่อยเป็นค่อยไปทำให้ผู้สูงอายุไม่ตระหนักว่าตนเองมีปัญหาการมองเห็น จะค่อยๆสูญเสียการมองเห็นด้านขอบนอกของลานสายตา อาจจะเริ่มรับรู้เมื่อเดินชนสิ่งต่างๆ หรือรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแว่นตาบ่อย
ผู้ป่วยจะบ่นว่ารู้สึกเมื่อยตา ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว หรือเห็นแสงเป็นวงๆ ซึ่งอาการมักเกิดตอนเช้า อาจพบกระจกตาขุ่น ม่านตาขยาย และไม่หดตัว อาการดังกล่าวมักเกิดกับตาเพียงข้างเดียวแต่ถ้าไม่รักษาอาจเกิดกับตาทั้งสองข้างได้
จอประสาทตาเสื่อม

credit pic by katemangostar – www.freepik.com
ความหมายของโรค: จอประสาทตาเสื่อมเป็นภาวะที่มีการเสื่อมทำลายของจอประสาทตา ความบกพร่องในการมองเห็นของผู้ที่มีจอประสาทตาเสื่อมเกิดจากการเสื่อมของเซลล์ rods และ cones ซึ่งส่งผลให้ผู้สูงอายุมีการสูญเสียการมองเห็นบริเวณส่วนกลางของลานตา
ชนิดและอาการของจอประสาทตาเสื่อม:
จอประสาทตาเสื่อมแบ่งเป็น 2 ชนิดดังนี้:
- จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง พบว่าร้อยละ 85-90 ของจอประสาทตาเสื่อมจะเป็นชนิดนี้ เมื่อตรวจจอตาจะพบ drusen แต่จะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นมากนัก ผู้สูงอายุจะดำเนินชีวิตอยู่ได้ตามปรกติ จอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้ไม่สามารถรักษาได้ แต่สามารถทำให้เสื่อมช้าลงได้โดยการรับประทานวิตามีน เอ ซี อี และสังกะสีในขนาดสูงๆ
- จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก ชนิดนี้จะมีการสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็ว จะมองเห็นภาพมัวไม่ชัด สูญเสียการมองเห็นบริเวณส่วนกลางของลานสายตา จอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้เกิดจากมีการรั่วซึมของของเหลวหรือเลือดเข้าไปอยู่บริเวณใต้จอประสาทตา
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง:
สาเหตุส่วนใหญ่ของจอประสาทตาเสื่อมเกิดจากการเสื่อมตามวัย โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากการเสื่อมตามวัยแล้ว จอประสาทตาเสื่อมอาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้
- อายุยิ่งมากขึ้น ยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น
- พันธุกรรม พบว่าฝาแฝดจะเกิดโรคนี้ได้เหมือนๆกัน และพบว่าคนที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ มีโอกาสที่จะเกิดโรคนี้สูงกว่าคนทั่วๆไป
- เพศ บางรายงานพบว่าเพศหญิงเป็นมากกว่าเพศชาย แต่บางรายงานพบว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนน่าจะป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ ดังนั้นผู้หญิงวัยขาดฮอร์โมนนี้จึงเป็นโรคนี้ได้บ่อยกว่าวัยอื่น
- เชื้อชาติ พบว่าคนผิวขาวมีโอกาสเกิดโรคนี้มากกว่าคนชาติอื่นๆ
- ผู้ที่มีสายตายาว มีโอกาสเกิดโรคนี้มากกว่าผู้ที่มีสายตาสั้นหรือสายตาปรกติ
- ผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด และ ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่ตาได้รับแสงแดดมาเป็นเวลานาน
- ผู้ที่สูบบุหรี่เรื้อรัง หรือ ได้รับควันบุหรี่เรื้อรัง รวมทั้งผู้ที่ดื่มสุรา
- ผู้ที่ขาดอาหารหลัก 5 หมู่ และอาจขาดสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิด
การป้องกันจอประสาทตาเสื่อม:
จอประสาทตาเสื่อมสามารถป้องกันได้โดยการรับประทานอาหารให้ครบส่วน รับประทานผักผลไม้ให้มาก รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและอาหารที่มีวิตามิน เอ ซี อี สูง จะทำให้สุขภาพตาดีขึ้นและส่งเสริมสุขภาพของจอประสาทตา มีการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุที่มีภาวะจอตาเสื่อมในระดับปานกลางถึงมาก เมื่อได้รับวิตามิน เอ ซี อี และสังกะสีจะลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น และคนที่รับประทานลูทีน เช่นผักคะน้าสุก ผักปวยเล้งดิบ ผักกาดแก้วและโอเมก้า-3 จะมีโอกาสเกิดจอรับภาพเสื่อมน้อย นอกจากการรับประทานอาหารที่เหมาะสมแล้ว ผู้สูงอายุควรเลิกสูบบุหรี่ ควรสวมแว่นตากันแดดเมื่อออกจากบ้าน รักษาโรคที่เป็นอยู่โดยเฉพาะเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและควรไปพบจักษุแพทย์เป็นประจำ
ขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูลเรื่อง: การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีปัญหาการมองเห็น
จากหนังสือ: การพยาบาลผู้สูงอายุโดย ผศ.ดร.ทศพร คำผลศิริ