6 อาการปวดในผู้สูงอายุที่ควรระมัดระวัง

 เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ อาการปวดต่างๆภายในร่างกายสามารถพบได้บ่อยขึ้น เนื่องจากระบบการทำงานของร่างกายมีประสิทธิภาพลดลง ทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ถามหาได้ง่ายกว่าวัยหนุ่มสาว ผู้สูงอายุควรหมั่นสังเกตตัวเองอยู่เสมอว่ามีอาการอะไรบ้างหรือไม่ที่ผิดปรกติไปกว่าเดิม หรือในอีกทางลูก-หลานต้องคอยหมั่นดูแล สังเกตอาการต่างๆของผู้สูงอายุในบ้านเพื่อเป็นการช่วยระมัดระวังอันตรายต่อสุขภาพที่จะเกิดขึ้น

วันนี้ทาง Zee Doctor จะขอพูดถึง: 6 อาการปวดเบื้องต้นที่ผู้สูงอายุพึงสังเกต ระมัดระวัง และถ้ายังไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์

Headache-elderly

credit pics by freepik – www.freepik.com

1. ปวดศีรษะ

 ถ้ามีอาการปวดศีรษะหรือปวดหัวอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจจะบ่งชี้ได้ว่ามีอาการผิดปรกติเกี่ยวกับระบบสมอง หรืออาจจะมีเลือดออกในสมอง หรือ เนื้องอกในสมอง ดังนั้นไม่ควรละเลยทิ้งไว้ ควรรีบตรวจสอบสาเหตุของอาการโดยการไปพบแพทย์

2. ปวดแน่นหน้าอก

having-stomach-pain-eldery

credit pics by freepik – www.freepik.com

 ถ้าผู้สูงอายุมีอาการปวดและอึดอัดแน่นหน้าอกอย่างเฉียบพลัน อาจมีปัญหาทางด้านโรคหัวใจได้ ทั้งนี้อาการปวดจะไม่ได้ปวดแบบทรมาน แต่จะแน่น และอึดอัดมากกว่า ถ้าจะให้ดีเพื่อความแน่ใจ ผู้สูงอายุควรรีบไปพบแพทย์จะดีที่สุด

3. ปวดหลัง

elderly-backpain

credit pics by freepik – www.freepik.com

 โดยปรกติผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีอาการปวดหลังเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่ควรละเลยต้องคอยสังเกตอาการปวดหลังที่อาจจะเกิดแบบซ้ำๆ เรื้องรัง ไม่หายสักที ซึ่งอาจจะเกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ หรือ มีการก้มตัว หรือ งอตัวแบบผิดท่า ผู้สูงอายุไม่ควรปล่อยให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังนานๆ อาจทำให้อาการปวดกำเริบจนทำการรักษาได้ยาก ฉะนั้นผู้สูงอายุควรไปพบแพทย์แต่เนินๆ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

4. ปวดท้อง

abdomen-pain-elderly

credit pics by freepik – www.freepik.com

 ถ้าเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีอาการปวดท้องแบบถี่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เนื่องจากอาจเกิดอาการผิดปรกติจากถุงน้ำดี ไส้ติ่ง หรือ ลำไส้อุดตันได้

5. ปวดขา (ในผู้ป่วยศัลยกรรม)
feet-pain-elderly

credit pics by jcomp – www.freepik.com

ถ้าเกิดอาการปวดขาบริเวณน่องอาจเกิดจากการอุดตันของเส้นเลือดดำมักพบในหลอดเลือดดำส่วนลึกที่ขาบางครั้งอาจไม่มีอาการ หรือ ถ้ามีจะมีอาการขาบวม ปวด แดง อุ่น สีผิวเปลี่ยน เจ็บที่ผิวหนังหรือพบเส้นเลือดดำที่ขาโป่งพองขึ้น(ขอบคุณข้อมูลจากรพ.ยันฮีอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/31EvNOi)

และมีโอกาสจะไปอุดตันบริเวณอื่น หรือถ้าเกิดไปอุดตันในบริเวณจุดสำคัญอาทิเช่น อุดตันบริเวณเส้นเลือดในปอดก็อาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ กลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคอ้วน ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด รวมทั้งผู้สูงอายุที่ต้องนั่งอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานานๆ หรือนอนนานๆ หลังการผ่าตัดเป็นต้น

6. ปวดที่บริเวณเท้า

 อาการปวดร้อนที่บริเวณเท้าและขาอาจเป็นอาการบ่งชี้ระยะเริ่มต้นของโรคเบาหวาน ซึงก็อาจจะทำให้ระบบเส้นประสาทเสีย เกิดอาการชาที่เท้า และอาจเกิดเป็นแผลได้โดยไม่รู้ตัว

อาการปวดต่างๆที่เกิดขึ้นย่อมเป็นสัญญาณเตือนถึงอาการผิดปรกติภายในร่างกาย ผู้สูงอายุไม่ควรละเลย ปล่อยอาการปวดเหล่านั้นทิ้งไว้จนเป็นอันตราย ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจเช็คและรับการรักษาอย่างทันท่วงที

บทความโดย: แอดมิน Zee Doctor (All Right Reserve)

อันดับแรก ต้องเข้าใจกันก่อนว่ารถเข็นที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่:

ประเภทแรก รถเข็น Wheel Chair แบบต้องใช้กำลังคนขับเคลื่อน ซึ่งก็สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 2 ประเภท:

  1. Transport wheel chair– รถเข็น Wheel Chair ประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยคนช่วยเข็นเท่านั้น คนนั่งไม่สามารถเข็นเองได้ นิยมใช้งานกันในโรงพยาบาลเพื่อเคลื่อนย้ายคนไข้จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง รถเข็นลักษณะนี้ จะมีล้อหลังขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ประมาณ 8-14นิ้ว ผู้นั่งจะไม่สามารถเอื้อมมือไปขยับล้อเพื่อเคลื่อนไหวรถเข็นด้วยตัวเองได้ ข้อดีคือน้ำหนักเบา ราคาค่อนข้างถูก
  2. Manually propelled wheel chair– รถเข็น Wheel Chair ประเภทนี้ผู้ใช้งานสามารถที่จะขยับรถเข็นเคลื่อนที่เองได้โดยจะต้องใช้แขนทั้งสองข้างในการช่วยหมุนล้อ ส่วนในกรณีที่ต้องการเบรก ผู้ใช้งานต้องใช้แขนทั้งสองข้างจับที่วงปั่นเพื่อช่วยในการชะลอผ่อนความเร็ว รถเข็นประเภทนี้ จะมีล้อหลังขนาดใหญ่ตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-24นิ้ว (51-61 ซ.ม.) ข้อดีคือผู้ใช้งานสามารถบังคับควบคุมรถได้ด้วยตนเอง

ประเภทที่สอง รถเข็น Wheel Chair ที่ใช้พลังงานภายนอก หรือ นิยมเรียกกันว่า รถเข็นไฟฟ้า

คือรถเข็นที่ใช้ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อน โดยลักษณะภายนอกของรถเข็นและการใช้งานจะเหมือนกับแบบที่ใช้กำลังคนในการขับเคลื่อน แต่จะถูกติดตั้งเพิ่มเติมด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าทำให้ผู้ใช้งานสามารถบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ไปในทางที่ต้องการได้ รถเข็นแบบนี้นิยมใช้กับผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยหนักไม่สามารถควบคุมการทำงานภายในร่างกายได้ หรือพิการ เป็นอัมพาตจนร่างกายขยับไม่ได้

รถเข็นไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุได้เป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนช่วงล่างของร่างกายได้เลย ผู้ใช้งานสามารถบังคับรถเพื่อหลบหลีกทาง หรือ เขยิบไปในจุดที่สะดวกได้ด้วยตนเองหรือในขณะที่คนเข็นรถไม่อยู่

ข้อแนะนำในการเลือกรถเข็นผู้ป่วย ผู้สูงอายุ:

  1. ควรเลือกแบบที่สามารถพับเก็บได้เพื่อความสะดวกในการพกพาไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อความง่ายในการเคลื่อนย้าย
  2. รถเข็นควรมีเบรกและระบบล๊อคล้อเพื่อความปลอดภัย
  3. กรณีเป็นผู้ป่วยหนักจำเป็นต้องใช้รถเข็นในระยะเวลานาน ควรเลือกซื้อแบบที่ทนทาน มีน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยสะดวก หากต้องเดินทางเป็นประจำควรซื้อแบบที่ทำด้วยอลูมิเนียม
  4. รถเข็นที่ดีต้องมีความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน ต้องไม่เทอะทะ ความลึกของเบาะนั่งต้องพอดีกับร่างกาย เมื่อนั่งแล้ว สะโพกและข้อเข่าควรงอทำมุมฉาก ควรมีช่องว่างระหว่างขอบที่นั่งกับข้อพับเข่าของผู้ป่วยเล็กน้อย หากที่นั่งลึกเกินไปอาจเกิดการเสียดสีเป็นแผลที่ใต้เข่าหรือผู้ป่วยอาจเลื่อนไหลตัวไปด้านหน้าจนอาจตกจากรถเข็นได้
  5. ต้องมีความปลอดภัยกับผู้ใช้งาน โดยควรคำนึงถึงความสูงของพนักพิงว่าต้องพอดี หากผู้ป่วยมีอาการที่ทรงตัวไม่ดี ควรใช้พนักพิงที่พอเหมาะพอดีกับตัว หากผู้ใช้งานทรงตัวดี ต้องการความคล่องตัวในการเข็นรถด้วยตนเองให้เลือกใช้พนักพิงแบบต่ำ
  6. ที่วางเท้าต้องพอเหมาะในขณะที่ผู้สูงอายุนั่ง ข้อเข่าและข้อเท้าควรงอตั้งฉากกัน ไม่ควรงอหรือเหยียดจนเกินไป หรือหากที่วางเท้าสูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดแรงกดไปที่ก้นมากจนอาจเกิดอันตราย เมื่อใช้ไปนานเข้าอาจทำให้ปวดหลังหรือเกิดแผลกดทับที่ก้นขึ้นมาได้

เครดิตข้อมูลจาก site :       

Phartrillion: https://phartrillion.com/how-to-choose-wheelchair/

ราคาเครื่องมือแพทย์.com:  https://bit.ly/38GGrWs