ปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวขึ้นกว่าเดิม เป็นสาเหตุให้พบเจอโรคต่างๆที่หลากหลายได้มากขึ้น โดยโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ อาทิเช่น โรคทางระบบประสาท มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย หนึ่งในโรคที่ต้องให้ความใส่ใจ คือโรคพาร์กินสัน วันนี้ทาง Zee Doctor จะมาเรียบเรียงและอธิบายให้เข้าใจถึงโรคพาร์กินสันในเบื้องต้นแบบง่ายๆกัน
โรคพาร์กินสัน เป็นโรคที่พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยส่วนมากซึ่งเป็นผู้สูงอายุมีอาการทางระบบประสาทที่เด่นชัด 3 ประการได้แก่ อาการสั่น อาการเกร็ง และ อาการเคลื่อนไหวช้า โรคพาร์กินสัน เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปรกติของระบบประสาทส่วนกลางที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและการพูด พาร์กินสันนิซึ่ม เป็นกลุ่มอาการและลักษะอาการที่ปรากฏจากการตรวจร่างกาย คืออาการเคลื่อนไหวน้อยและช้า อาการสั่น และ อาการแข็งเกร็งและปัญหาการเดิน
หมายเหตุ: อาการดังกล่าวข้างต้นนี้อาจเกิดจากโรคอื่นๆนอกเหนือจากพาร์กินสันได้เช่นกัน อาทิ มาจากยาบางชนิด หรือ โรคหลอดเลือดสมอง
สารบัญเนื้อหา
1. สาเหตุของโรคพาร์กินสัน

โรคพาร์กินสันอาจเกิดได้จากสาเหตุต่างๆดังนี้:
- ความชราภาพของสมอง ทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีนมีจำนวนลดลง ในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่พบบ่อยทีสุด และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน มักพบในผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป และพบได้บ่อยพอๆกันทั้งเพศชายและเพศหญิง อัตราการเกิดโรคพาร์กินสันจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยในผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป มีการเกิดสูงกว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี ถึง 100 เท่า และสูงกว่าผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี 10 เท่า
- ยาปราบศัตรูพืชหรือยาฆ่าแมลง จากการศึกษาพบว่าในผู้ที่สัมผัสกับยาฆ่าแมลงหรือยาปราบศัตรูพืชมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคพาร์กินสันสูงเป็น 2 เท่า
- อุบัติเหตุศีรษะถูกกระทบกระเทือน หรือกระแทกบ่อยๆเช่น อุบัติเหตุรถยนต์หรือมอเตอร์ไซด์ นักมวยที่ถูกชกศีรษะบ่อยๆ โดยพบว่าความเสี่ยงของการเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับความบ่อยของการได้รับบาดเจ็บทางสมอง จากการสำรวจในผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันพบว่ามีประวัติการได้รับบาดเจ็บบริเวณสมองตั้งแต่เด็ก
- พันธุ์กรรม จากการศึกษาลักษณะทางพันธุ์กรรมมีความสัมพันธ์กับโรคพาร์กินสันอย่างมีนัยยะสำคัญ สำหรับโรคพันธุกรรมเช่น โรควิลสัน ที่มีโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง เนื่องจากมีธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมาก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเช่นกัน
2. สภาพอาการของโรคพาร์กินสัน
โรคพาร์กินสันเกิดจากอาการผิดปรกติของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว คือการตายของเซล์ประสาท โรคพาร์กินสันทำให้เซลล์สมองส่วนนี้ไม่สามารถสร้างสารสื่อประสาทได้เพียงพอ จะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อไม่ประสานงานกัน มือจะกระตุก ไม่สามารถทำงานที่ต้องประสานงานของกล้ามเนื้อหลายๆมัดได้
3. อาการของโรคพาร์กินสัน

เมื่อโรคเป็นมากขึ้นผู้ป่วยก็จะเกิดอาการชัดเจน อาการของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน อาการที่สำคัญได้แก่:
3.1) อาการสั่น (tremor) เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดและเป็นอาการแรกที่ผู้ป่วยสังเกตพบได้และทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ สาเหตุนี้พบประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วย อาการสั่นของผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีลักษณะเฉพาะคือ จะมีการสั่นขณะพักไม่ได้ทำกิจกรรม และจะเริ่มจากด้านใดด้านหนึ่งของร่างกายขณะอยู่เฉยๆ เช่นเริ่มจากบริเวณปลายนิ้วหรือมือ
อาจพบเริ่มจากปลายเท้าริมฝีปาก คาง และ ขากรรไกร อาการสั่นจะลดลงเมื่อผู้ป่วยได้ทำกิจกรรม เช่น ตักอาหารหรือเขียนหนังสือ อย่างไรก็ตามในระยะโรคที่รุนแรงมากขึ้นอาการสั่นจะเป็นได้ทั้งขณะพักและขณะทำกิจกรรม
3.2) อาการเกร็ง (rigidity) คนปรกติเวลาเคลื่อนไหวจะมีกล้ามเนื้อที่หดเกร็งและกล้ามเนื้อด้านตรงข้ามจะมีการคลายตัว แต่ในส่วนของโรคพาร์กินสันอาการเกร็งจะมีลักษณะของการต้านเมื่อบุคคลอื่นเคลื่อนไหวอวัยวะนั้นๆให้แก่ผู้ป่วย โดยจะพบบริเวณ คอ ไหล่ สะโพก ข้อมือ ข้อเท้า เริ่มจากซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายและรุนแรงเป็นสองข้างของร่างกาย
อาการเกร็งบริเวณใบหน้าและการเคลื่อนไหวช้าของร่างกายจะทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนในลักษณะคล้ายหุ่นยนต์และมีใบหน้าเรียบเฉยเหมือนใส่หน้ากาก อาการเกร็งจะเป็นมากเมื่อผู้ป่วยมีความตั้งใจในการทำสิ่งต่างๆ และจะคลายลงเมื่อผู้ป่วยมีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เช่น ในขณะหลับ
3.3) อาการเคลื่อนไหวช้า (bradykinesia) เป็นอาการที่พบได้บ่อยเช่นเดียวกับอาการสั่น และจะมีลักษณะคล้ายกับอาการสั่นคือเริ่มจากซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายและถ้ารุนแรงจะลามมากลางตัว ส่งผลให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวช้าและลำบาก การทำกิจวัตรประจำวันหรืองานประจำวันที่สามารถทำได้เองต้องใช้เวลานานมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวและไม่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น
ผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันจะกลืนลำบากจากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืนทำงานลดลง ความผิดปรกติเกี่ยวกับการพูดจะพบว่าผู้ป่วยจะพูดด้วยเสียงโทนเดียวหรือรุนแรงจนพูดไม่ชัด เนื่องจากกล้ามเนื้อกล่องเสียงทำงานลดลง

3.4) สูญเสียการทรงตัว (postural instability) ด้วยความผิดปรกติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่พบในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน คือ การสั่น แข็งเกร็ง และเคลื่อนไหวช้า จะส่งผลต่อทั้งการเดินและการทรงตัวของผู้ป่วย โดยรูปแบบการเดินคือการเดินช้า เดินซอยเท้าถี่ และก้าวสั้นๆ อาจเดินย่ำเท้าอยู่กับที่ เดินไม่แกว่างแขนหรือแกว่งแขนลดลง เดินโน้มตัวไปข้างหน้า ถ้าอาการรุนแรงจะเดินก้าวเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ การหมุนตัวกลับจะหมุนทั้งตัวเหมือนท่อนไม้ทำให้หกล้มได้ง่าย
3.5) อาการทางจิตประสาท ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้อแท้ สิ้นหวัง ซึมเศร้าได้ โดยพบว่าเกินครึ่งของผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมีภาวะซึมเศร้า ซึ่งบางเวลาอาจเป็นมากถึงชั้นทำร้ายตัวเอง นอกจากนั้นยังอาจพบอาการประสาทหลอนทั้งการได้ยิน การมองเห็น และอาการหลงผิด และความบกพร่องของสติปัญญาและการรับรู้ที่พบได้ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในระยะรุนแรง
4. การรักษาโรคพาร์กินสัน

การรักษาทำได้โดยการรักษาอาการเท่านั้น ยังไม่มียาใดหรือการรักษาอื่นใดที่ทำให้หายขาด ทั้งนี้ผู้ป่วยแต่ละคนจะตอบสนองต่อการรักษาต่างกัน แนวทางในการรักษาโรคพาร์กินสันดังนี้:
4.1) การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้ในการรักษาโรคพาร์กินสันมีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนโดปามีนที่ลดลง ทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น แพทย์มักจะเริ่มให้ยาในขนาดน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆปรับเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งมักต้องการยาแต่ละชนิดและขนาดที่แตกต่างกันออกไป
4.2) การรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด ถ้าผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมีอาการไม่มากนัก อาจฝึกหัดเองที่บ้านได้ เช่น ฝึกการเดินโดยให้ยืดตัวตรงก่อน และก้าวเดินให้ยาวพอสมควร พยายามแกว่างแขนขณะเดิน ห้ามหมุนตัวหรือกลับตัวเร็วๆ หรือการเลือกรองเท้าให้เหมาะสมใช้ส้นเตี้ยๆ ห้ามใส่รองเท้าส้นสูง ควรบริหารข้อเท้าทุกวัน แต่ถ้าอาการเป็นมากควรปรึกษาแพทย์ (สนใจบริการพาไปพบหมอ) เพื่อให้คำแนะนำต่อไป
4.3) การผ่าตัด การรักษาด้วยการผ่าตัดได้รับความนิยมน้อย จะใช้ในกรณีที่ใช้ยาแล้วไม่ได้ผล การผ่าตัดจะช่วยลดอาการสั่นเท่านั้น ผลเสียของการผ่าตัดจะทำให้พูดช้าและอาจทำให้การทำงานของร่างกายไม่ประสานงานกัน ดังนั้นจึงไม่นิยมในการรักษา
4.4) การรักษาโดยใช้อาหาร เท่าที่ทราบยังไม่มีอาหารหรือวิตามีนที่จะช่วยในการรักษาผู้ป่วยแต่มีหลักการคือรับประทานอาหารสุขภาพให้ครบทุกกลุ่ม (อ่านบทความเพิ่มเติม การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่) โดยแบ่งเป็น 3 มื้อ ชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งเพื่อตรวจสอบว่าไม่ขาดสารอาหาร ให้รับประทานผักหรืออาหารที่มีกากใยมากๆ และให้ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเพื่อป้องกันอาการท้องผูก หลีกเลี่ยงอาหารมันหรืออาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง อย่ารับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง

4.5) การรักษาโดยการออกกำลังกาย การออกกำลังกาย (อ่านเพิ่มเติม การออกกำลังกายในผู้สูงอายุ) จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง อารมณ์ดีขึ้น และการเดินการทรงตัวดีขึ้น
ขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูลเรื่อง: การพยาบาลผู้สูงอายุโรคพาร์กินสัน
จากหนังสือการพยาบาลผู้สูงอายุโดย ผศ.ดร.ศิริรัตน์ ปานอุทัย