ภาวะสมองเสื่อมเป็นความผิดปรกติที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่ง ณ.ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนั้นผู้สูงอายุที่มีภาวะนี้มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามการเกิดของโรค ดังนั้น Zee Doctor จะมาแนะนำวิธีการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมกันต่อในตอนที่ 2 (อ่านเพิ่มเติม:การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมตอนที่ 1)
ความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมคือการช่วยเหลือให้สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นอย่างดี ระดับความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยสมองเสื่อมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเสื่อมและความสามารถในการใช้แขน ขา การช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันควรทำดังนี้
เนื้อหายาวไป เลือกอ่าน
การรับประทานอาหาร
ปัญหาที่พบบ่อยคือ จำไม่ได้ว่ากินอาหารไปแล้ว ไม่รู้จักวิธีใช้ช้อน ส้อม บางคนอาจมีปัญหาในการเคี้ยวหรือการกลืนอาหาร
แนวทางการจัดการด้านโภชนาการ ควรดูแลโดย:
- ตรวจสุขภาพเหงือกและฟัน ความสามารถในการเคี้ยวและการกลืนเป็นระยะๆ
- คงบรรยากาศการกินอาหารอย่างเดิมๆ อาทิ รับประทานเวลาเดิม การจัดตำแหน่งอาหารที่เดิม ถ้วย ชาม ตำแหน่งของโต๊ะและเก้าอี้
- คอยเตือนล่วงหน้าเมื่อใกล้ถึงเวลาอาหาร
- จัดอาหารที่คุ้นเคย ให้ผู้ป่วยมีโอกาสเลือกทานอาหารที่ตัวเองชอบตามหลักโภชนาการ ควรเป็นอาหารที่เคี้ยวง่าย ควรระวังการสำลัก บางครั้งจำเป็นต้องทำการบดอาหารหรือทำอาหารเหลวโดยเน้นคุณค่าและปริมาณอาหารแต่ละมื้อ
- คอยเฝ้าดูผู้ป่วยระหว่างรับประทานอาหารเพื่อช่วยเหลือเมื่อจำเป็น และให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้เพียงพอครบถ้วนตามหลักโภชนาการ
- ไม่ต้องเคร่งครัดเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารมากนัก ทำบรรยากาศให้สบายๆ ทำให้เกิดความสุขและผ่อนคลายในการรับประทาน
- อาหารควรมีอุณหภูมิที่พอเหมาะ ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป ควรระวังอาหารที่ร้อนจัดเพราะผู้ป่วยอาจรับรู้ไม่ได้เกี่ยวกับความร้อนของอาหาร
- เตรียมปริมาณอาหารให้เหมาะสมแก่การรับประทาน อาหารบนโต๊ะไม่ควรมีหลายชนิดเพราะอาจทำให้สับสนได้
- ไม่ควรวางอาหารให้ผู้สูงอายุสมองเสื่อมเห็นเพราะอาจหยิบรับประทานเองโดยไม่สามารถยับยั้งได้ และในรายที่ไม่สามารถเคี้ยวได้อาจทำให้ติดคอและสำลัก
credit photo created by jcomp – www.freepik.com
การทำความสะอาดร่างกาย
ปัญหาที่มักพบคือลืมอาบน้ำ ไม่ยอมอาบน้ำ หรือลืมวิธีการอาบน้ำ ควรดูแลโดย :
- พยายามคงเวลาการอาบน้ำของผู้สูงอายุไว้ให้เหมือนเดิม หากผู้สูงอายุไม่ยอมอาบน้ำในขณะนั้น อาจมีการยืดหยุ่นเวลาอาบน้ำให้สอดคล้องกับอารมณ์ พฤติกรรม และชีวิตประจำวัน
- เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้ลงมือทำเองได้มากที่สุด แต่ต้องเฝ้าระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นขณะกำลังอาบน้ำ
- จัดให้ใช้อุปกรณ์ที่คุ้นเคย จัดเตรียมอุปกรณ์ตามลำดับการใช้งาน
- ใช้วิธีการอาบน้ำที่สะดวกและไม่ซับซ้อน เช่นใช้ฝักบัว
- ระวังความปลอดภัย เช่นควรมีราวเหล็กข้างผนังไว้สำหรับยึดเพื่อกันล้ม ควรมีเก้าอี้อาบน้ำ และคอยดูแลอุณหภูมิน้ำให้เหมาะสม
- ควรใช้เทคนิคในการช่วยอาบน้ำในกรณีที่ผู้สูงอายุไม่ยอม อาทิ ชวนเล่นน้ำสงกรานต์ ชวนล้างห้องน้ำเป็นต้น
- ผู้สูงอายุบางคนรู้สึกอายที่มีคนอาบน้ำให้ ควรหาผ้าไว้ปิดบังร่างกายบางส่วน
การแต่งตัว
ปัญหาที่มักพบคือ จำไม่ได้ว่าเก็บเสื้อผ้าไว้ที่ไหน ไม่ทราบว่าจะต้องใส่อะไรก่อน หลัง ไม่ทราบวิธีสวมใส่ ไม่รู้ว่าเสื้อผ้ามีเอาไว้ทำอะไรเป็นต้น ผู้ดูแลควรดูแลผู้สูงอายุโดย :
- ช่วยเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ใส่อย่างเป็นลำดับ
- บอกหรือช่วยแต่งตัวเป็นลำดับทุกครั้ง
- สถานที่แต่งตัวให้เป็นสถานที่เดิมทุกครั้ง
- ถ้าผู้สูงอายุสามารถแต่งตัวเองได้ ควรให้เวลาไม่ต้องเร่งรีบ
- พยายามเลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบายและง่าย
- ให้เลือกเครื่องแต่งกายเองจนกว่าจะทำไม่ได้
- แนะนำการจัดเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับกาลเทศะ
การควบคุมการขับถ่ายและการใช้ห้องน้ำ
ปัญหาที่มักพบคือ ผู้สูงอายุมักจะไม่ทราบว่าเมื่อไร่จึงจะใช้ห้องน้ำ อาจกลั้นอุจาระไม่ได้ หรือหาห้องน้ำไม่พบ เข้าไปในห้องน้ำแล้วไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรและอาจถึงขั้นขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง แนวทางการดูแลคือ
- พยายามจัดเวลาการขับถ่ายให้เป็นเวลา หรือใกล้เคียงกับเวลาเดิม
- ไม่ควรให้ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มมากเมื่อใกล้เวลาเข้านอน
- ดูแลความสะดวกในการเดินเข้าห้องน้ำ เช่นเปิดไฟในห้องน้ำ และทางเดินไปห้องน้ำ
- ติดป้ายบอกว่าเป็นห้องน้ำให้ชัดเจน
- ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ถอดออกได้ง่าย เช่นกางเกงเอวยางยืด แทนการติดกระดุมหรือผูกเชือก
- เตรียมกระโถนสำหรับปัสสาวะไว้ใกล้ๆที่นอน หากมีความจำเป็นอาจต้องใช้ผ้าอ้อมผู้สูงอายุขณะนอนหลับ
- จัดเวลาให้สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวันและมื้ออาหาร
- ถ้าผู้สูงอายุไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ อาจใช้วิธีกำหนดเวลาไปห้องน้ำเป็นระยะๆ
การเคลื่อนย้ายเคลื่อนที่
ปัญหาที่อาจะพบบ่อยคือ เดินลำบาก บางรายอาจพบอาการพาร์กินสันร่วมด้วย บางรายอาจพบปัญหาการเดินเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดมุ่งหมายในการเดิน ผู้ดูแลสามารถดูแลได้โดย
- ทดสอบความสามารในการยืน การเดิน โดยเฉพาะเรื่องของการทรงตัว
- จำกัดการเดินและการเดินของผู้สูงอายุ
- เลือกเวลาและสถานที่เดินสำหรับผู้สูงอายุให้เหมาะสมและปลอดภัย
- เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้เดิน และเคลื่อนไหวด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การนอน การขับถ่าย ความจำและส่งเสริมด้านอารมณ์
- กรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถยืน เดินได้ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวบนเตียง
- หาดจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน ควรเลือกใช้อุปกรณ์ที่ใช้ง่าย ไม่ซับซ้อนและเหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละราย (สนใจสินค้าผู้สูงอายุ อุปกรณ์ช่วยการทรงตัว คลิกเลย)
การสูญเสียทักษะ ความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ
การสูญเสียทักษะ ที่เคยทำ อาทิเช่น ทักษะในการปรุงอาหาร สูญเสียทักษะในการประกอบอาชีพ ซึ่งทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น ใส่สารบางอย่างลงไปในอาหาร ลืมปิดเตาแก๊สหลังทำอาหาร หรือสูญเสียทักษะในการดูแลตนเอง เช่นสวมเสื้อผ้า อาบน้ำ และในผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมอย่างรุนแรงอาจไม่สามารถดื่มน้ำและทานอาหารได้ด้วยตัวเอง แนวทางในการดูแลสามารถทำได้โดย :
- ช่วยแนะนำ ให้กำลังใจ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้ใช้ความสามารถและรักษาทักษะที่มีให้นานที่สุด
- แนะนำให้ผู้ดูแลเข้าใจถึงปัญหาและควรอดทนให้เวลาผู้สูงอายุในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่นล้างจาน จัดโต๊ะอาหาร
- ถ้าผู้สูงอายุคุ้นเคยกับการใช้โทรศัพท์ ควรกระตุ้นให้ใช้ต่อไปให้เป็นผู้รับโทรศัพท์ ควรวางปากกา กระดาษไว้ใกล้ๆ เพื่อใช้บันทึกข้อความข้อความผู้ที่โทรศัพท์มาหา และควรเขียนรายชื่อคนที่ติดต่อกันเป็นประจำ เช่น สมาชิกครอบครัว เพื่อน แพทย์เป็นต้น
การดูแลผู้สูงอายุ/ผู้ป่วยสมองเสื่อมในภาวะซึมเศร้า
สามารถดูแลได้ดังนี้:
ผู้ที่อยู่ในระยะเริ่มต้น
- ให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
- ยอมรับอาการหลงลืม พยายามทำความเข้าใจ รวมทั้งหาความหมายของพฤติกรรมและอารมณ์ที่ผู้สูงอายุแสดงออก
- เปิดโอกาสให้มีกิจกรรมที่ชอบและยังสามารถทำได้ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม กระตุ้นให้มีปฎิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เช่น การออกกำลังกาย
- ให้พูดระบายความรู้สึก
- ให้กำลังใจสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
ผู้ที่อยู่ในระยะปานกลางถึงรุนแรง
- จัดตารางกิจกรรมในแต่ละวันให้เหมือนเดิม
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เช่น เสียงดัง อยู่ในกลุ่มคนมากๆ หรือทิ้งให้อยู่คนเดียว
- พูดคุยกับผู้สูงอายุตัวต่อตัว ด้วยค่ำพูดที่สั้นและกระชับ
- ใช้การสัมผัสช่วยกระตุ้นหรือถ่ายทอดความรู้สึกกับผู้สูงอายุบ่อยๆ
การดูแลผู้สูงอายุ/ผู้ป่วยสมองเสื่อมที่มีอาการเฉยเมย ไม่แสดงอารมณ์ มีวิธีการดังนี้:
- ต้องยอมรับว่าเป็นอาการของโรค ผู้สูงอายุไม่ได้แกล้งทำ
- คอยสนับสนุน กระตุ้นให้ผู้สูงอายุ ให้มีส่วนร่วมกิจกรรม
- กระตุ้นประสาทสัมผัสด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น snozelen (คือการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่อบอุ่น ผ่อนคลายด้วยสิ่งกระตุ้นประสาทความรู้สึกขั้นพื้นฐาน) วันละประมาณ 15 นาที ในห้องที่ช่วยให้สงบผ่อนคลาย
- จัดกิจกรรมเตือนความจำ ฝึกการทำสมาธิ
การดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมที่มีอาการทางจิต เช่นหูแว่ว เห็นภาพหลอน ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ จึงควรมองหาต้นตอของสาเหตุและให้การดูแลตามสาเหตุดังนี้ :
- มีสติปัญญาในการรับรู้เสื่อมลง เช่นอาจหลงผิดคิดว่าผู้ดูแลเป็นตัวปลอม จึงควรแนะนำให้ญาติหรือผู้ดูแลสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สูงอายุเพื่อให้จดจำ
- มีอาการหลงผิด ประสาทหลอน เช่นเห็นภาพตนเองในกระจก คิดว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ควรจัดการโดยกำจัดสิ่งเร้าออกไป หรืออาจคิดว่ามีคนจะมาขโมยของๆตน ควรจัดการโดยการให้เขียนชื่อลงบนสิ่งของต่างๆ ในบางกรณีผู้สูงอายุอาจคิดว่าตนเองถูกทอดทิ้ง ควรสร้างสัมพันธ์ภาพและดูแลให้ใกล้ชิดมากขึ้น ทั้งนี้ญาติและผู้ดูแล ควรรับฟัง ทำความเข้าใจ และรับรู้อารมณ์ของผู้สูงอายุ อธิบายให้เข้าใจถึงสถานการณ์อย่างช้าๆ ไม่ควรทะเลาะ ขัดแย้ง โต้เถียงในสิ่งที่ผู้สูงอายุหลงผิดและไม่ควรส่งเสริมให้ยึดความเชื่อที่หลงผิดนั้น ควรใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่นแทน
สรุป
การดูแลผู้สูงอายุ/ผู้ป่วยสมองเสื่อมนั้นต้องการการเข้าใจที่ละเอียดอ่อน ญาติหรือผู้ดูแลควรได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาลเพื่อทำหน้าที่ร่วมกันในการช่วยเหลือผู้ป่วยให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งนี้ถ้าผู้สูงอายุสามารถที่จะทำกิจวัตรประจำวันได้เองบ้าง จะเป็นการแบ่งเบาภาระงานของญาติหรือผู้ดูแลให้สามารถไปทำหน้าที่อื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้สูงอายุให้ดีขึ้นได้
แหล่งที่มาข้อมูลเรื่อง การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม
จากหนังสือการพยาบาลผู้สูงอายุโดย ผศ.ดร.ทศพร คำผลศิริ